Follow Us

Story We Share

STORY BY Sasha (Master)

Once upon a time in India (ตอนที่ 5)

Print December 18, 20131,803 views , 0 comments

Once upon a time in India (ตอนที่ 5)
กาลครั้งหนึ่งในอินเดีย-ตามรอยสังเวชนียสถาน

 
เช้าวันนี้เรามีแผนการเดินทางข้ามเมือง โดยทีแรกเราจะผ่านไปทางเมืองเวสาลี แต่เนื่องจากเป็นหน้าฝน ที่ผ่านมามีฝนตกหนักทำให้ถนนเสียหาย รถใหญ่ผ่านไปอาจเกิดอันตรายได้ จึงเปลี่ยนเส้นทางผ่านไปยังเมืองพาราณสีแทน โดยระยะทางนั้นไกลกว่าเดิมค่ะ แต่เพื่อความปลอดภัยจึงเลือกเส้นทางนี้ ดังนั้นวันนี้จึงเป็นทัวร์นั่งรถอย่างแท้จริงค่ะ เราตื่นขึ้นมาจัดเก็บข้าวของกันตั้งแต่ตีสามครึ่ง เสร็จเรียบร้อยทุกอย่างกันประมาณตีห้า ลงไปรับประทานอาหารเช้ากันพร้อมเดินทางประมาณ 6 โมง เมื่อเราจะออกเดินทางนั้น แต่ละคนก็รีบซื้อของกันสถานที่ซื้อขายกันก็อยู่ที่หน้าวัดนั่นล่ะค่ะ มีบรรดาพ่อค้าขายผ้า (หลายเจ้าเลย) ขายพวงกุญแจ ภาพถ่ายสถานที่สำคัญๆ แม้แต่พวกสร้อยคอสวยๆ ที่ทำด้วยหินสี ก็ราคาไม่แพง เมื่อเทียบเป็นเงินไทยค่ะ อย่างเช่น พวกพวงกุญแจก็ 12 พวง เป็นเงิน 100 บาท ผ้าคลุมไหล่จากราคาผืนละ 300 บาท ต่อไปต่อมาก็เหลือผืนละ 150 บาท เป็นต้น การซื้อผ้าที่สิ่งต้องระวังคือ ถ้าผ้าสีฉูดฉาดมากให้ระลึกไว้ว่าอาจจะสีตกได้ (เมื่อนำกลับไปซักที่บ้าน ผ้าผืนไหนที่มีสีเข้มสีก็จะตกตามระเบียบจริงๆ)
 
กว่าจะเก็บกระเป๋ากันเสร็จ และได้ออกรถกันจริงๆ ก็ประมาณ 7 โมงเช้า วันนี้เรามีจุดมุ่งหมายเพื่อไปยังเมืองกุสินาราซึ่งเป็นสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระยะเวลาการเดินทางเรียกว่าเป็นการเดินทางไกลแบบ non stop ครั้งแรกของ Trip นี้ ซึ่งพวกเราทำใจแล้วว่าจะต้องนั่งรถยาวไม่ต่ำกว่า 15 ชั่วโมง และจากการที่เปลี่ยนเส้นทางก็จะทำให้เพิ่มระยะเวลาการเดินทางอีกประมาณ 3 ชั่วโมง ในช่วงแรกของการเดินทางได้มีการจอดแวะที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่งห้องน้ำเขาก็ไม่ธรรมดาเลยค่ะ ทั้งกลิ่น และสภาพ ก็สุดจะทน แต่ก็ต้องเข้าไปก่อนค่ะ มีแบบว่าพอกดชักโครก น้ำก็พุ่งปรี๊ดออกมาเลย หลบแทบไม่ทัน บางคนไม่เข้าห้องน้ำก็สั่งอาหารอินเดียทานเป็นแผ่นแป้งคล้ายโรตี จิ้มทานกับน้ำแกงซึ่งกลิ่นเครื่องเทศค่อนข้างแรง หลายๆคนนิยมซื้อถั่วแปบเป็นถุงเล็กกันทีละเป็นโหล (ถั่วสีเหลืองเม็ดเล็กคลุกเกลือ)น่าแปลกที่ก็อร่อยจริงๆนั่นแหละค่ะ มันๆ เค็มนิดๆ



สถานที่ที่เป็นร้านอาหารซึ่งเขาแวะให้เราไปเข้าห้องน้ำกันค่ะ แต่แถวยาวมาก และห้องน้ำก็สกปรกมากๆเลย



แก้วน้ำที่เขาใช้ก็ดูสวยดีนะคะ



ได้ดื่มการัมจาย (ชานม) แสนอร่อยอีกแล้ว



เข้าห้องน้ำเสร็จก็มานั่งทานน้ำ ทานขนม อยู่ตรงนี้ล่ะค่ะ



ขอทานก็มารอเราตรงทางขึ้นรถเลยค่ะ



ไกด์เราพยายามจัดสรรค่ะ



ช่วงแรกก็แย่งกันแบบนี้เลย



ตอนหลังจึงต้องจัดระเบียบว่าถ้าใครไม่เข้าแถว ก็ไม่ให้เลยได้ภาพอย่างนี้ล่ะค่ะ (เป็นระเบียบเชียว)


เมื่อเสร็จจากตรงนี้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีการหยุดพักระหว่างทางเพื่อเข้าห้องน้ำอีกเลย แต่จอดให้เข้าห้องน้ำใหญ่ (ลงทุ่ง) อยู่ 3-4 ครั้ง ขอบอกจริงๆ ค่ะ ว่าทำใจไม่ได้เลยที่จะต้องลงทุ่ง จึงอั้นไปตลอดทาง น้ำท่าก็แทบจะไม่ได้ดื่มเลย เพราะกลัวจะอยากเข้าห้องน้ำมากกว่าเดิม แต่บรรยากาศในการลงทุ่งก็สนุกสนานดีค่ะ ทีแรกแต่ละคนก็จะเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไปมุงบัง ทีแรกก็เดินไปไกลๆ พอลงทุ่งกันหลายๆ ครั้งเข้าก็เริ่มชิน ระยะทางก็ใกล้ขึ้น และก็ลงกันแบบว่าเป็นปกติเลย พอรถจอดปุ๊ปก็พร้อมใจกันลงอย่างเริงร่า...เฮฮาค่ะ อย่างที่เขาว่ากันว่า “คนไทยปรับตัวเก่ง” เห็นจริงก็วันนี้เองค่ะ
 


รถก็จอดไป คนก็ลงไปทำธุระส่วนตัว สบายใจทั้งผู้ขับรถ และผู้นั่งรถ เพราะเป็นการเข้าห้องน้ำใหญ่ที่รวดเร็วกว่ามาก(ไม่ต้องต่อคิว)



บรรยากาศการลงทุ่งค่ะ ต่างคนก็ต่างหามุมกันไปค่ะ เข้าห้องน้ำแบบมีวิวให้ชม 360 องศารอบทิศ


ระหว่างทางเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองต่างๆ สภาพแวดล้อมเมื่อออกจากเมืองคยาใหม่ๆ จะมีแต่ทุ่งโล่งๆ สองข้างทาง อาจจะมีบ้านหลังเล็กๆ ประปราย 





ที่จ่ายเงินค่าผ่านทางค่ะ



ระหว่างทางตามบ้านคนเขาก็จะมีกองๆดินปั้นวางเป็นระเบียบเลย รู้ทีหลังว่าคือ "ขี้วัว" อันมีค่านั่นเอง เป็นเชื้อเพลิงอย่างดีเลยค่ะ



ระหว่างทางเป็นทุ่งโล่งซะส่วนใหญ่ แต่อยู่ๆ ก็จะมีตึกโผล่ขึ้นมาแบบนี้ล่ะค่ะ


แต่เมื่อเริ่มเข้าเมืองพาราณสี ก็เห็นความแตกต่าง เริ่มเป็นแหล่งชุมชน เป็นเมือง มีรถเยอะมีสถานที่สำคัญๆ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร ตู้ATM โรงเรียนนานาชาติ ตลาดขายของ ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพที่รู้สึกแปลกตาจากบรรยกาศเดิมๆ แต่สองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยฝุ่น และแน่นอนค่ะ เสียงแตร ที่ดั่งขรมไปทั่วถนน บีบกันจนเป็นปกติ...ที่แน่กว่านั้น คือ คนขับรถของเราขับๆ อยู่เจอเพื่อน ขับรถสวนมาก็เลยเบรคกระทันหันซะอย่างนั้น แล้วคุยกับเพื่อนคนขับรถอีกคันที่วิ่งสวนมา...รถข้างหลังก็บีบแตรกันระงม...แต่คนขับของเราก็ยังคุยต่อแบบไม่แคร์สื่อเลยค่ะ จนคุยกันจบนั่นล่ะจึงขับรถต่อไป



เข้าเมืองพาราณสีแล้ว (หลักกิโลเมตรบ้านเขาเป็นแบบนี้ค่ะ)









เริ่มเข้าเมืองแล้วก็มีร้านค้าให้เห็นมากขึ้น ถนนคึกคักมาขึ้นค่ะ


แล้วรถตุ๊กๆ ของเขานะคะ มหัศจรรย์มากเพราะนั่งได้ถึง 10 คน คือ ด้านหน้าคนขับนั่ง และมีที่นั่งประกบซ้ายขวา (2 คน) ตอนกลางและ ข้างหลัง นั่งได้สองฝั่ง ฝั่งละ 2 คน (8 คน) และที่อินเดียนี่นะคะ วัว สามารถเดินไปทุกที่ โดยที่ไม่มีใครว่าอะไร เพราะถือว่าวัว เป็นพาหนะของเทพเจ้าที่เขานับถือค่ะ ดังนั้นวัวของเขาจึงดูสุขภาพดี ควาย กับ แพะก็เหมือนกันเดินกันไปตามถนน นอกจากนี้ยังมีรถเทียมวัว ม้า รถสามล้อ จักรยาน มอเตอร์ไซด์ ร่วมกันใช้ถนน ซึ่งนับว่าหลากหลายมาก สรุปแล้วถนนของประเทศนี้ทุกคน ทุกตัวสามารถใช้ได้ค่ะ...แม้ว่าจะดูว่าที่นี่ดีกว่าที่เมืองคยา แต่ตามข้างทางก็ยังเห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนที่ยากจนเหมือนกัน คือบ้านเขาจะเป็นแค่มีโครงสามเหลี่ยม แล้วเอาผ้ามาคลุมๆไว้เท่านั้น ดูแล้วก็หดหู่ค่ะ







เห็นคันเล็กๆแบบนี้ จุได้ 10 คนแนะ เหลือเชื่อมาก Amazing India จริงๆ



ถนนเป็นของเราค่ะ...(เป็นของทุกคัน ทุกตัว)

 

ร้านขายโทรศัพท์มือถือค่ะ ดูคึกคัก ดึกแล้วยังมีลูกค้าเข้าเลย


ตลอดเส้นทางก็หลับๆตื่นๆ กว่าจะถึงจริงๆ เราใช้เวลาถึง 18 ชั่วโมง ทีเดียว...ในระหว่างนั้นตื่นขึ้นมาแต่ละครั้งตั้งแต่ประมาณ 2 ทุ่ม 4 ทุ่ม จนกระทั่งเที่ยงคืนแล้วก็ยังไม่ถึง อยากเข้าห้องน้ำมาก แต่ก็ต้องทนเฮ่อ ทรมานจริงๆ เรื่องห้องน้ำแต่ในที่สุดเราก็มาถึงจนได้ที่เวลาประมาณตีหนึ่งค่ะ ซึ่งคืนนี้เราพักกันที่วัดธิเบตหลับอย่างหมดเรี่ยวแรง และเมื่อยมากๆ เพราะนั่งอยู่แต่ในรถนานมาก และตลอดเส้นทางรถก็บีบแตรหวานเย็นไปตลอดทาง จนถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าเริ่มจะชินกับเสียงแตรบนท้องถนนอินเดียไปซะแล้วค่ะ ส่วนถนนนั้นก็ไม่ค่อยดีกระแทกไปมาตลอดเลย เหมือนเรานั่งลูกบอลออกกำลังกายเด้งๆ ดังนั้นวันนี้จึงหมดพลังงานไปเยอะมาก พอได้นอนไม่นานก็หลับสนิทไปเลยค่ะ
 
Tag : India Buddha พาราณสี varanasri cow street tuktuk field karumjai จารัมจาย

Comments to this story

Write a comment


1.  views readmore
ALL Most Viewed
ALL TOP Rated
1.  comments readmore
ALL Most Comment