สงกรานต์ในปีนี้ ไม่ได้เปียกน้ำซักหยด เพราะไป เที่ยวสิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 13 – 16 เมษายน 54 กว่าจะกลับกรุงเทพฯ เค้าก็เลิกเล่นสงกรานต์กันแล้ว เดือนนี้ขอเขียนแนวท่องเที่ยวต่างแดน ที่สิงคโปร์นะครับ เป็นประเทศที่ไปเที่ยวง่าย ไม่ต้องใช้ Visa ปลอดภัย นั่งเครื่องเพียง 2 ชั่วโมง ไปเองได้ ไม่ต้องง้อทัวร์
ทริปนี้จองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าตั้งแต่ สัปดาห์แรก ของมกราคม ดูหลายสายการบิน ตั้งแต่ Low cost Air asia, Jet star, Tiger airway, Singapore airway และ Cathay Pacific ราคาของสายการบิน Low cost ไม่ได้ถูกไปกว่า Full service อย่าง Cathay Pacific เท่าไหร่นัก เลยสรุปว่าเลือกที่จะบินกับ Cathay Pacific ดีกว่า เที่ยวไป CX713 เที่ยวกลับ CX712
ผลของการจองล่วงหน้าถึง 4 เดือนทำให้ได้ราคาถูก ค่าตั๋ว ไป-กลับ ต่อคน เพียง 5,300 บาท รวมภาษีแล้ว อยู่ที่คนละประมาณ 7,500 บาท ราคานี้โหลดกระเป๋าได้คนละ 20 กิโลกรัม และมีอาหารให้ทานบนเครื่อง บินในช่วงวันหยุดสงกรานต์ด้วย คุ้มมากๆ ครับ
สายการบิน Cathay Pacific เค้าจะมีให้ทำ Web Check-in ได้ล่วงหน้า 2 วัน เราจะต้องรีบทำ Web Check-in เพื่อที่จะเลือกที่นั่งดีๆ หลักการก็คล้ายๆ Web Check-in ของ Air asia แหล่ะครับ คลิ๊กๆ 2-3 ทีก็เสร็จ
เพื่อเป็นการไม่ประมาท เราไปถึงสนามบินล่วงหน้า 3 ชั่วโมง กลัวแถว Check in ยาว กลัวรอ ตม. ตรวจนาน เที่ยวบินของเราเป็นรอบ 11.45 น.
มองหาเกท เช็คอินของคาเธ่ย์ แปซิฟิก
เค้าท์เตอร์ เปิดอยู่หลายช่องเลยครับ แต่มีช่องพิเศษสำหรับ Web check-in / Drop Baggage ซึ่งไม่มีคนรอเลย เราก็เลยไปเข้าช่องนั้น เพราะเราทำ Web check in มาแล้ว พนักงานเค้าจะขอดูบัตรเครดิตที่เราใช้จองด้วย ใครจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตอย่าลืมเอาบัตรใบนั้นไปด้วยนะครับ สะดวก รวดเร็วมาก ไม่ต้องรอคิว
ก่อนเดินทางผมได้ไปแลกเงินบาทเป็นเงินดอลล่าร์สิงคโปร์ (SGD) ที่ Super rich แต่ไม่สามารถแลกได้ เพราะเค้าไม่มีแบงค์ย่อย มีแต่แบงค์ 1000 SGD ซึ่งแบงค์ใบนี้ใบเดียว ต้องใช้เงินไทยแลกถึง ประมาณ 24,xxx บาท โอ้…ใครจะกล้าแลกครับเนี่ย ทริปนี้ผมว่าจะแลกไป 12,000 บาท ก็คิดว่าเหลือๆ แล้ว
เลยตัดสินใจว่าจะแลกเอาที่สนามบิน แม้เรทแพงหน่อยแต่ก็สะดวกดี ในกระเป๋าผมมีทั้งเงินบาทและเงินหยวนของจีน (CNY) ที่เหลือจากทริปที่แล้ว เงินหยวนตีเป็นบาทได้ประมาณหมื่นกว่าบาท ที่ Exchange บอกว่าถ้าจะเอาเงินหยวนไปแลกเป็นดอลล่าร์สิงคโปร์ จะต้องแปลง 2 รอบ CNY –> THB และ THB –> SGD ดูแล้วขาดทุนย่อยยับต้องเสียค่าแลกเปลี่ยนถึง 2 ครั้ง
เลยเอาเงินบาทไปแลกสิงคโปร์มา 100 SGD (2,437 บาท) ใช้แก้ขัดไปก่อน แล้วค่อยเอาเงินหยวนไปแลกดอลล่าร์สิงคโปร์ ที่สิงคโปร์เอา
วันนี้รอคิว ตม. ไม่นาน คงเป็นเพราะช่วงใกล้เที่ยง เที่ยวบินไม่เยอะ และ ตม. ก็เปิดอยู่หลายช่องเหมือนกัน
มีเวลาเหลือพอที่จะเดินดูของ Duty free ได้จนเบื่อ สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสนามบินที่มีร้านค้าเยอะมาก เป็นของ King power ทั้งนั้นเลย
และแล้วเครื่องบินเที่ยว CX713 ก็มาเทียบงวงช้างแล้วครับ เอาคนมาลงที่เกทนี้ แล้วก็รับคนขึ้นที่เกทนี้เช่นกัน
เที่ยวบิน CX713 เป็นเครื่องบินลำใหญ่ จัดที่นั่งแบบ ซ้าย 3, กลาง 3 และ ขวา 3 พร้อมจอทีวีส่วนตัว (PTV) ทุกที่นั่ง + หูฟัง เบาะกว้าง นั่งสบาย ตามมาตราฐาน สังเกตุว่าผู้โดยสารในลำนี้เป็นคนจีนเยอะเหมือนกัน คงเป็นเพราะสายการบินคาเธ่ย์ เป็นสายการบินของฮ่องกง
พอเครื่องขึ้นไปได้ซักพัก แอร์โฮสเตสก็จะแจกแบบฟอร์มเข้าเมืองสิงคโปร์ (Embarkation form) ให้เรากรอก อย่าลืมใส่ที่อยู่โรงแรมในสิงคโปร์ไปด้วยนะครับ กรอกให้ครบจะได้ไม่เสียเวลาที่ด่าน ตม.
ใบ ตม. สิงคโปร์ ด้านหน้า (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
ใบ ตม. สิงคโปร์ ด้านหลัง (คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)
ผมทำคำแปลใบ ตม. สิงคโปร์ เป็นตัวอย่างมาให้แล้ว กรอกตามได้เลยครับ
หลังจากนั้นแอร์โฮสเตส ก็แจกอาหารให้กับ First class, Business class แล้วค่อยมายัง Economy อาหารก็จะมี หมู, เนื้อ, ปลา ให้เลือก ผมเลือกเป็นปลาครับ ในเซ็ทนี้ก็จะมี ข้าวกล่อง 1 กล่อง, ขนมปัง 1 ก้อน + เนย, วุ้น, ผลไม้ และเครื่องดื่ม ถ้ากินหมดนี่ก็อิ่มเลยครับ ลงจากเครื่องแล้วไม่ต้องไปหากินอีก
เครื่องบินจอดเทียบงวงช้างที่ Terminal 1 ซึ่งเป็น Terminal ของสายการบินทั่วไป จากนั้นก็ต้องลงไปที่ ตม. สิงคโปร์ (Arrival Immigration) ผมหาแผนที่แจกฟรีที่สนามบิน เหมือนว่าจะไม่เห็น จำได้ว่าคราวที่แล้ว มีแจกเยอะเลย หรือแผนที่วางอยู่ที่ไหนครับ ใครทราบช่วยบอกที
ที่ด่าน ตม. คนค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเป็นคนไทยเยอะที่สุด เพราะเป็นวันหยุดสงกรานต์ของบ้านเรา
ใครที่ยังไม่ได้กรอกใบ Immigration form เค้าก็มีให้กรอก และยังมีคำแปลเป็นภาษาต่างๆ ให้ด้วย เช่น ภาษาญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ฝรั่งเศส, เกาหลี แต่ผมไม่ได้ดูว่ามีภาษาไทยหรือเปล่า
ใครที่กังวลว่า ตม. สิงคโปร์เค้าจะถามเยอะ กลัวว่าจะสื่อสารไม่ได้ ผมบอกได้เลยครับ ว่าตั้งแต่ต่ออยู่ปลายแถว ไม่เห็นเค้าจะถามใครเป็นเรื่องเป็นราวเลย หรือว่าวันนี้เครื่องลงเยอะก็ไม่รู้ อย่างมากก็อ่านชื่อ – นามสกุลเรา เราก็พยักหน้ารับ เท่านั้นพอ แล้วก็ปั๊มตรา ผ่านไปได้
การเดินทางจากสนามบิน Changi เข้าไปยังตัวเมือง วิธีที่สะดวกและประหยัดที่สุดก็คงเป็นรถไฟฟ้า เราสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ที่ Terminal 2 และ 3 เท่านั้น ดังนั้นเราจะต้องไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ Terminal 2
รถไฟฟ้าที่วิ่งระหว่าง Terminal 1-2, 2-3 จะเป็นรถไฟฟ้าขบวนสั้นๆ ไม่มีคนขับ มาทุกๆ 3-5 นาที ให้บริการฟรี
และแล้วเราก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า Changi Airport อย่างแรกเลยก็ต้องซื้อบัตรโดยสาร EZ link ใหม่ เดินไปที่ Counter แล้วบอกเค้าว่า “New EZ link 2 cards” จะต้องจ่ายค่าบัตรโดยสารใบละ 12 SGD จะแบ่งเป็นค่าบัตร 5 SGD และมูลค่า ในบัตร 7 SGD
ใครที่คิดว่าจะขอยืม EZ link คนอื่นไปใช้ ผมว่าซื้อเองเลยก็สะดวกดีครับ เสียค่าบัตรไปเปล่าๆ 5 SGD (ประมาณ 120 บาท) เอง ค่าส่งบัตรไปๆ มาๆ ขับรถไปเอา เผลอๆ จะแพงกว่าด้วยครับ
ตอนที่ซื้อตั๋วอย่าลืมขอแผนที่รถไฟฟ้าเค้ามาด้วยนะครับ เค้ามีแจกฟรี
ผมเคยคิดหลายครั้งแล้วว่าจะซื้อ EZ link, Tourist pass หรือ Standard Ticket ดี สรุปว่าได้ข้อดี ข้อเสียตามนี้ครับ
EZ link : เสียค่าบัตรไปเปล่าๆ 5 SGD (ประมาณ 120 บาท) บัตรมีอายุ 5 ปี ข้อดีคือสะดวก บัตรเดียวใช้ได้ทั้ง MRT, Bus, ใช้ซื้อของใน 7-eleven ได้ และจ่ายค่า Sentosa Express ได้ด้วย ถ้าคิดว่าจะกลับมาเที่ยวสิงคโปร์อีกก็ซื้อ EZ link เลยครับ
Tourist pass : หาซื้อบัตรยาก หาที่คืนบัตรยาก นับวันตามวันที่ ไม่ได้นับเป็น 24 ชั่วโมงจากที่ออกบัตร คิดเหมาที่วันละ 8 SGD + มัดจำบัตร 10 SGD ซึ่งถ้าใช้ EZ link เดินทางทั้งวัน ปกติแล้วจะใช้ไม่เกินวันละ 8 SGD ถ้าซื้อครอบคลุมวันไป – วันกลับ จะขาดทุน 2 วัน คือวันไป – วันกลับ เพราะเดินทางน้อย ข้อดีคือ คืนบัตรได้มัดจำคืน 10 SGD
ถ้าจะซื้อบัตร Tourist pass แนะนำให้ซื้อแบบวันเดียวครับ ราคา 8 + 10 SGD แล้วใช้ในวันที่เดินทางเยอะๆ วันรุ่งขึ้นบัตร Tourist pass ที่หมดอายุแล้วสามารถเติมเงินใช้เป็นบัตร EZ link ได้ และสามารถ refund บัตรคืนมัดจำ (10 SGD) และเงินในบัตรได้หมดเลย
Standard Ticket : ซื้อบัตรเป็นเที่ยวๆ บัตรมีมัดจำ 1 SGD เมื่อถึงสถานีปลายทาง ก็คืนบัตรกับตู้ ได้มัดจำคืนหมด แต่จะไม่สะดวกในกรณีที่เดินทางไปหลายๆ ที่
ป.ล. บัตรโดยสารที่กล่าวมาทุกชนิดต้องใช้ 1 คน ต่อ 1 ใบนะครับ บัตรที่แตะผ่านทางเข้าไปแล้วจะแตะทางเข้าซ้ำไม่ได้
บัตร EZ link ที่ซื้อมาใหม่จะมีเงินในนั้น 7 SGD เราสามารถเติมเงินได้ที่ตู้เติมเงิน โดยวางบัตรในที่วางบัตร เลือก Top up แล้วใส่เงินเข้าไป ขั้นต่ำ 10 SGD กดยืนยัน ก็เป็นอันเสร็จ
ให้นั่งสายสีเขียว East West Line จากสถานี Changi Airport ไปลงที่สถานี Tanah Merah รถไฟฟ้าจากสนามบินจะวิ่งสิ้นสุดที่สถานี Tanah Merah เท่านั้น ไม่ว่าจะไปไหนก็ต้องลงไปต่อรถไฟฟ้าที่นี่
จากสถานี Tanah Merah ให้นั่งสายสีเขียว East West Line ฝั่งที่มีปลายทางอยู่ที่ Joo Koon แล้วก็ดูแผนที่เอาว่าจะไปต่อรถไฟฟ้าที่ Inter change ไหน
ที่พักของผมในทริปนี้ พักที่ Hotel 81 Bencoolen ทั้ง 3 คืนเลย ราคาที่พักทั้ง 3 คืนอยู่ที่ 9,322 บาท ตกคืนละ 3107.33 บาท ไม่มีอาหารเช้า จากการเช็คราคาแล้ว agoda ถูกสุดครับ จากที่ไปพักมา 3 คืน โรงแรมนี้ถือว่าเป็นโรงแรมที่คุ้มราคาเลยครับ ห้องพักราคาไม่แพง ใกล้รถไฟฟ้ามาก ฝั่งตรงข้ามโรงแรมก็มี 7-eleven และ Food court KOPITIAM ที่เปิดตลอด 24 ชม. ลองเช็คราคาเล่นๆ ได้ที่ link ด้านล่างครับ จองล่วงหน้านานหน่อยก็จะถูกกว่าจองใกล้ๆ วันไป
Link. เช็คราคาโรงแรม Hotel 81 Bencoolen, จองโรงแรม Hotel 81 Bencoolen, โรงแรมสิงคโปร์
สำหรับคนที่พักที่ Hotel 81 Bencoolen ผมจะบอกการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแบบที่ง่ายๆ เดินน้อยๆ ให้ครับ
1. จากสถานี Changi Airport ไปลงที่สถานี Tanah Merah
2. นั่งสายสีเขียว (East west line) ที่มีปลายทางอยู่ที่ Joo Koon ไปลงที่สถานี Paya Lebar
3. ที่สถานี Paya Lebar เปลี่ยนไปขึ้นสายสีเหลือง (Circle line) ที่มีปลายทางอยู่ที่ Dhoby Ghaut ไปลงที่สถานี Bras Basah
4. ออกจากสถานี Bras Basah ด้วยทางออก E แล้วเดินมาทางซ้ายจะเจอกับสี่แยกที่มี Food court KOPITIAM ข้ามถนนที่ไฟแดง แล้วเดินไปทางขวา อีกประมาณ 50 เมตร โรงแรมจะอยู่ทางซ้าย
เมื่อออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าก็เจอฝนก่อนเลย ร่มก็ไม่มี มีแต่เสื้อกันฝน เราวิ่งฝ่าฝนตัวเปียกไปเช็คอินที่โรงแรม ยื่น Voucher การจองของ agoda ให้กับพนักงาน พนักงานที่นี่เอาทิชชู่มาให้เช็ดหน้าที่เปียก แปปเดียว เราก็ได้กุญแจห้องมา ไม่มีค่ามัดจำ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มทั้งนั้น
ซ้าย : Lobby โรงแรม ขวา : ภายในโรงแรม
เราพักที่ชั้น 8 ครับ ห้อง Standard นอนได้ 2 คน มีน้ำดื่มให้ 1 ขวด, กาต้มน้ำ กาแฟงซอง, ไดเป่าผม, ผ้าเช็ดตัว, แปรงสีฟัน, หวี, หมวกอาบน้ำ, ทีวี + เคเบิ้ล ดูได้หลายช่องเหมือนกัน มีหน้าต่างที่หลังห้อง แต่เปิดไม่ได้นะครับ ปิดตายไว้
ภายในห้องก็ถือว่าเล็ก แต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไร ถือว่าสมราคา ส่วนความสะอาดก็ถือว่าใช้ได้เลยครับ
เปิดลิ้นชักด้านขวามาจะเจอกับสาย LAN เอาไว้เล่นเนตได้ครับ แต่ต้องไปขอ Username & Password ที่ front นะครับ ใช้ได้ฟรีครับ
ภายในห้องน้ำ ก็ไม่ถือว่าเล็กมาก มีอ่างอาบน้ำ น้ำร้อน, น้ำเย็นให้ มีสบู่เหลว & แชมพู ที่อยู่ข้างฝักบัวให้ใช้ อ้อ…เสียอยู่อย่างเดียวครับไม่มีฝักบัวชำระข้างชักโครกให้
นั่งเล่นดูทีวีได้ซักพัก ฝนก็หยุด เราก็เลยว่าจะไปเดินเล่น Orchard กัน เดินไปจากที่พักได้เลยครับ
ที่ทางออกของโรงแรมเห็นแผนที่แจกฟรีเพียบ เลยเลือกอันที่มีประโยชน์มา สบายแล้วไม่ต้องกลัวหลง
ทางไป Orchard ออกจากโรงแรม Hotel 81 Bencoolen แล้วเดินไปทางขวา จะเจอสี่แยก ให้เลี้ยวขวาอีกครับ จะเจอถนน Orchard ทางนี้ก็เป็นทางที่ไปสถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut ด้วย
ระหว่างทางไป Orchard ซ้าย : SOTA school of arts Singapore ขวา : สถานีรถไฟฟ้า Dhoby Ghaut
ห้างแรกของถนน Orchard Plaza Singapura & Carrefour
เจอรถ CityTours Hopper โผล่มาพอดี เป็นรถเปิดประทุน 2 ชั้น พาเที่ยวชมรอบเมืองแบบไม่จำกัดเที่ยว ราคาคนละ 19.90 SGD กดเครื่องคิดเลขดู เกือบ 500 บาทแนะ เดินเข้า Orchard ต่อดีกว่า
ผมมาสิงคโปร์ครั้งที่แล้ว ประมาณ 4 ปีก่อน รู้สึกว่า Orchard มีห้างเยอะมากขึ้น อยู่ติดๆ กันหมดเลย
อุ้ย…มีร้าน Adult shop ขายพวก Sex toy ด้วย เห็นอยู่ 2-3 ร้าน ร้านนี้อยู่ใกล้กับโรงแรม Hotel Grand central และห้าง Orchard Plaza ผมชี้พิกัดให้เลย
Hotel Grand central เป็นโรงแรมที่ผมมาพักเมื่อทริปที่แล้ว เป็นโรงแรมที่ทำเลดี อยู่ในย่าน Orchard เลย ใกล้ห้างมากๆ ราคาไม่แพงด้วย แต่ห้องอาจจะเก่านิดนึง
OG Orchard Point
อันนี้น่าจะเป็นห้างเปิดใหม่ Orchard Central เพราะมาคราวที่แล้วไม่เห็นมี
ห้างเยอะจริงๆ ผมเข้าไปสำรวจราคาสินค้า Brand name ที่เค้า recommend กันว่าถูก และน่าซื้อ เช่นเสื้อผ้ายี่ห้อ Bossini ก็ไม่เห็นว่าจะถูกกว่าบ้านเราเลย มีแต่ราคาเท่ากัน หรือแพงกว่าด้วยซ้ำ หรือว่าไม่ใช่ช่วง Grand sale ของเค้าก็ไม่รู้
2 มือล้วงกระเป๋า พบว่าเงินดอลล่าร์สิงคโปร์ (SGD) เริ่มเหลือไม่เยอะแล้ว เลยเอาเงินหยวนมาแลกเป็นเงินสิงคโปร์ซะเลย เป็นร้านแลกเงินอยู่ริมถนน Orchard คนแลกเงินเป็นคนแขก ร้านแลกเงินที่นี่เค้าจะเรียกว่า Money changer (บ้านเราเรียก Money Exchange)
2,250 CNY แลกได้ 429.75 SGD ผมว่าก็เป็นเรทที่ใช้ได้ไม่น่าเกลียด
เงินๆๆ เต็มไปหมด เอามากระจายกันไว้ แล้วถ่ายรูป ดูแล้วเหมือนเยอะ กองนี้หมื่นกว่าบาทนิดๆ ครับ
ผ่าน Singapore Visitors Center เห็นไฟสวยดี เลยขอซักรูป
เดินไปเดินมาชักเหนื่อย เดินกลับไม่ไหวเลยนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Somerset กลับ ไม่เดินกลับเหมือนตอนมา
พอกลับถึงห้องเปิดน้ำอุ่นนอนแช่ในอ่าง ก็สบายตัวขึ้นเหมือนกัน คืนแรกก็หลับไปอย่างเหนื่อยๆ ครับ
วันนี้ผมไปเที่ยว Universal Studios Singapore, เกาะ Sentosa ทั้งวัน ขอยกไปอีกรีวิวเลยนะครับ เพราะรายละเอียดเยอะมาก รีวิวนี้จะเน้นเที่ยวในเมืองเป็นหลัก
อ่าน –> เที่ยวสวนสนุก Universal Studios Singapore และเกาะ Sentosa
ตื่นเช้ามาฝากท่องไว้กับ Food court KOPITIAM ที่อยู่เยื้องกับโรงแรม KOPITIAM เปิดตลอด 24 ชั่วโมงครับ ไม่ต้องกลัวว่าดึกๆ จะหากินลำบาก
Food court KOPITIAM เปิด 24 ชั่วโมง
7-Eleven ข้าง KOPITIAM (อยู่ตรงข้ามกับ Hotel 81 Bencoolen)
ที่ KOPITIAM มีร้านอาหารหลายร้าน ข้าวราดแกง, ราเมง, ข้าวมันไก่, ก๋วยเตี๋ยว, ของหวาน, ผลไม้มีหมดครับ อาหารจานเดียวราคาอยู่ที่ 3.5 – 6.5 SGD การซื้ออาหารจะใช้เงินสดหรือ KOPITAM Card ก็ได้ครับ สำหรับนักท่องเที่ยวอย่างเรา เงินสดสะดวกสุด ในตอนเช้าเค้าจะมีอาหารเช้าเป็นชุดด้วย อย่างชุดด้านล่าง มีกาแฟ ไข่ดาว 2 ฟอง แฮมแบบถูกๆ ไม่ใช่เนื้อๆ แบบบ้านเรา กับขนมปังปิ้งไส้สังขยาหรือที่เรียกว่าคายาโทสต์ (Kaya Toast) ชุดนี้ 2.5 SGD หรือประมาณ 60 บาท
เมื่อซื้ออาหารแล้วจะนั่งทานด้านใน หรือด้านนอกก็ได้
น้ำเปล่าในศูนย์อาหารนี้ขายขวดละ 1.5 SGD (ขวดเล็ก) อาหาร 1 มื้อที่สิงคโปร์ก็ตกมื้อละ 100-150 บาท ผมคาดคะเนว่าเค้าต้องมีรายได้มากกว่าเราอย่างน้อย 4-5 เท่าถึงจะอยู่ได้กับค่าครองชีพแบบนี้
บรรยากาศใน Kopitiam
พูดถึงเรื่องน้ำเปล่าที่สิงคโปร์ โดยทั่วไปจะมี 2 แบบ 1. น้ำแร่ Mineral water และ 2. น้ำกลั่น Distilled water จะราคาถูกกว่าน้ำแร่ ร้านที่ขายน้ำถูกที่สุดจะเป็นร้าน Guardian ขวดเล็กจะขาย 0.7-0.8 SGD แต่ที่ 7-eleven ขายขวดเล็ก 1.6-1.8 SGD
ชุดด้านบนมีชื่อว่า Buk kut Teh (บัก กุด เต๋) เป็นต้มกระดูกหมู บัก กุด เต๋ เสริฟพร้อมข้าว เป็นอาหารที่หาทานได้ตั้งแต่ภาคใต้บ้านเรา มาเลเซีย สิงคโปร์ ชุดนี้ 5 SGD ครับ
ห้างมุสตาฟา (Mustafa)
ห้างชอปปิ้ง แหล่งซื้อของฝากที่ขึ้นชื่อของสิงคโปร์ พวกน้ำหอม ชอกโกแลต ของจิปาถะทั่วไป แนะนำให้มาที่ห้างมุสตาฟา (Mustafa) ห้างนี้อยู่ที่ย่านอินเดียครับ ถ้ามารถไฟฟ้าก็ลงที่สถานี Ferrer Park แล้วเดินไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ย่านนี้จะมีคนแขกเยอะมาก ดูแล้วเหมือนจะน่ากลัว แต่ก็นิสัยดีนะครับ อย่างตอนผมออกมาจากรถไฟฟ้า ไม่รู้ว่ามุสตาฟาไปทางไหน ก็เลยไปถามแขกคนนึงว่าไปทางไหน เค้าบอกให้เดินตามเค้ามาเลย เค้าพามาส่งเกือบถึงที่
ของที่ขายในห้างมุสตาฟา มีตั้งแต่สากกระเบือ ยันเรือรบเลยจริงๆ เริ่มด้วยของใช้ในซุปเปอร์มาเกต ขนม ของกิน ชอกโกแลต เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นกล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ เครื่องใช้สำนักงาน ของฝาก พวกกุญแจ แม้แต่ทองคำ เครื่องประดับยังมีเลยครับ
ขนมที่ขายในสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก เป็นขนมที่มาจากประเทศมาเลเซีย และประเทศไทย ก่อนซื้อดูให้แน่ชัดก่อนนะครับถ้ามาจากไทย ก็ไปซื้อที่ไทยดีกว่า ราคาถูกกว่าด้วย
การเข้าไปซื้อของในห้าง
ใครมีกระเป๋า เค้าจะให้ฝากของไว้ที่ด้านหน้าก่อนเข้าไป แต่ถ้าเรามีของมีค่าอยู่ด้วย เช่นกล้องถ่ายรูป โน๊ตบุ๊ค เราจะต้องเอากระเป๋าเราไปให้เค้าใช้สาย Cable Tie รัดซิปเราซะก่อนไม่ให้แกะออกได้ และของที่ซื้อในห้าง จ่ายตังค์แล้วเค้าก็จะเอา Cable Tie รัดถุงเช่นกัน
นอกจากร้านขายของแล้ว มุสตาฟา ยังมีที่แลกเงิน (Money Changer) เรทค่อนข้างดีด้วยครับ มีคนมาแลกเยอะ แต่เห็นคนบอกมาว่าการบริการไม่ค่อยดี พนักงานแลกเงินพูดอังกฤษสำเนียงอินเดีย บางทีเราฟังไม่ชัดก็มาหงุดหงิดใส่เรา เราซื้อช๊อกโกแลตจากร้านมุสตาฟามา 4-5 ถุงราคาไม่ถึงกับถูกเว่อร์ เอาไว้เป็นของฝาก
GST refund
ถ้าเกิดว่าชอปปิ้งที่มุสตาฟา เกิน 100 SGD ใน 1 ใบเสร็จ หรือ รวมรวมใบเสร็จที่ซื้อของในวันเดียวกันให้ได้เกิน 100 SGD สามารถไปขอคืนภาษี (GST refund) ได้ด้วยนะครับ สำหรับภาษีที่ได้คืนก็ 7% ของยอดที่ซื้อ
สถานที่ขอคืนภาษีของมุสตาฟา อยู่ที่ชั้นล่างสุด เคาน์เตอร์อยู่ระหว่างแผนกกีฬาและเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเราจะต้องมี passport และต้องกรอกเอกสารการคืนภาษี เงินที่ได้คืนมาจะมีให้เลือกโอนเข้าบัตรเครดิต Visa / Master card หรือรับเป็นเชค แนะนำให้เลือกเป็นโอนเข้าบัตรเครดิตจะดีที่สุด ถ้ารับเป็นเชคจะต้องเสียค่าธรรมเนียมขึ้นเชคด้วย เกือบพันบาทแนะ
ขากลับจะไปขึ้นรถไฟฟ้า ผ่านห้าง City Square Mall เลยแวะเข้าไปดูหน่อย บังเอิญเจอกับร้านอาหารไทย ชื่อร้าน Sky Thai แนวข้าวราดแกง เลยลองกินดู
ผมเห็นคนตักอาหารคล้ายคนไทย เลยถามเป็นภาษาไทยว่าคนไทยเปล่าครับ เค้าไม่เข้าใจ เลยถามใหม่เป็นภาษาอังกฤษ เลยรู้ว่าไม่ใช่คนไทย แต่พอเค้ารู้ว่าเราเป็นคนไทย มีการชี้ไปที่กับข้าวแล้วบอกว่า “อร่อยจริงๆ” สงสัยเป็นประโยคหากิน
จานนี้ 2.4 SGD ถูกและอร่อยด้วย ข้าวหอมมะลิ นุ่ม หอม เมนูอาหารจะเป็นแนวจืดๆ ไม่มีอะไรที่เผ็ดๆ รสจัดเลย
ร้านของทอดชื่อดัง OldChangKee ในห้าง City Square Mall
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีหลายเชื้อชาติ เช่นจีน, มาเลเซีย, อินเดีย แต่ที่มีเยอะหน่อยจะเป็นชาวจีน ย่านที่คนจีนอยู่เยอะจะเป็นย่านไชน่าทาวน์ (Chinatown) อาจจะเหมือนกับเยาวราชบ้านเรา การเดินทางมา Chinatown สะดวกสุดก็มาทางรถไฟฟ้า ลงที่สถานี Chinatown ออกมาก็เจอเลย
ร้านหมูแผ่นชื่อดัง BEE CHENG HIANG เหมาะสำหรับซื้อไปเป็นของฝาก ราคาค่อนข้างแพงอยู่เหมือนกันครับ ซองเล็กๆ 200-300 บาท อยู่ที่ทางลงไปยังสถานีรถไฟฟ้าสถานี Chinatown
ตึก และอาคารบ้านเรือนบ่งบอกความเป็น Chinatown ที่เค้าอนุรักษ์ให้คงเดิมไว้อยู่ ได้บรรยากาศแบบจีน
แม้จะเป็นตึกที่สร้างมานานแล้ว แต่ก็มีการทาสีให้ดูใหม่อยู่เสมอ
Chinatown Heritage Centre ด้านหน้ามีแผนที่ และข้อมูลท่องเที่ยวแจกฟรี ข้างในเป็นพิพิธภัณฑ์ชาวจีน เสียค่าเข้าชมคนละ 10 SGD เป็นสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ แบบนี้ แต่มีพิพิธภัณฑ์เยอะมากเลยครับ
ตึกแถวหลากสีย่าน Chinatown
โรงแรม SANTA GRAND Hotel Chinatown อยู่ใจกลาง Chinatown เลย ราคาไม่แพงมาก 3 พันนิดๆ มีอาหารเช้าให้ด้วยนะ –> เช็คราคาโรงแรม
ในย่าน Chinatown จะมีวัดชื่อดังคนไทยเรียก วัดพระเขี้ยวแก้ว ชื่อภาษาอังกฤษว่า Buddha Tooth Relic Temple & Museum เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถัง เราสามารถเข้าไปชมด้านในได้ ไม่เสียค่าเข้านะครับ
ภายใน Buddha Tooth Relic Temple & Museum ใส่รองเท้าเข้าไปด้านในได้ แต่ห้ามเหยียบที่พรมแดง เราสามารถเดินขึ้นไปดูที่ด้านบนของวัดพระเขี้ยวแก้วได้ด้วยนะครับ มีห้องสมุดของพุทธศาสนา เรื่องราวความเป็นมาของศาสนาพุทธ ประวัติพระพุทธเจ้า ด้านบนมีสวนที่ดาดฟ้าด้วย
ที่ Chinatown มีร้านค้าให้เลือกซื้อของหลายอย่าง ตั้งแต่เสื้อผ้า น้ำหอม เครื่องสำอาง พวงกุญแจ โปสการ์ด อย่างพวงกุญแจที่ผมไปดูมาเห็นขาย 6 อัน 10 SGD แบบและลายเหมือนที่เคยเห็นที่มาเลเซียเลย คิดว่าคงรับมาอีกที
ถนนคนเดินใน Chinatown ตอนสายๆ เดินสบาย คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ช่วงบ่าย – หัวค่ำคนจะเยอะ
ก่อนที่จะถึง วัดศรีมาริอัมมัน จะมีไอติมขายอยู่เจ้านึงครับ อยู่ตรงสี่แยก คนไทยชอบเรียกไอติม 1 เหรียญ มีหลายรสให้เราเลือก เลือกได้ว่าจะคู่กับขนมปัง หรือเวเฟอร์ คนขายเป็นอาแป๊ะ ผมกับแฟนสั่งมากินกันคนละอัน จะขอแกถ่ายรูป แกส่ายหน้าอย่างเดียว สงสัยอารมณ์ไม่ดี เลยได้ถ่ายแต่ไอติมในมือผม
จากตรงนี้เดินไปอีกนิดก็ถึงวัดศรีมาริอัมมันแล้ว
ย่านคนจีน ใช่ว่าจะมีแต่อะไรที่เกี่ยวกับจีน ยังมีวัดแขกชื่อ วัดศรีมาริอัมมัน (Sri Mariamman Temple) เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ ก่อสร้างเมื่อปี 1827 ถ้าต้องการเข้าไปถ่ายรูปด้านในต้องเสีย 3 SGD และ 6 SGD สำหรับกล้องวีดีโอ
ในเดือนตุลาคม หรือ พฤศจิกายน วัดจะมีพิธีเดินลุยไฟ (Tbeemitbi) โดยผู้เข้าร่วมจะต้องเดินบนถ่านที่ติดไฟเป็นการทดสอบความเชื่อและศรัทธา
สำหรับคนที่เดินทนหน่อยแนะนำให้เดินมาที่ถนน Maxwel หรือถ้าจะนั่งรถไฟฟ้ามาก็มาลงที่สถานี Tanjong Pagar ที่นี่มีตึกที่ทาสีแดงทั้งตึก มีชื่อว่า Red dot design Museum แต่ก่อนเป็นที่ควมคุมสัญญาณไฟจราจร แต่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลงานออกแบบ
สำหรับที่กินขึ้นชื่อย่าน Chinatown ก็คงเป็น Maxwell food court เป็นศูนย์อาหารขนาดใหญ่ อยู่ที่ถนน Maxwell มีร้านอาหารมากกว่า 100 ร้าน ลองมาแวะกินข้าวมันไก่สิงคโปร์ดูได้ครับ (แนะนำร้านเทียน เทียน) ถ้ามาตอนเที่ยงคนจะเยอะมาก
เดินไปเดินมาหมดไปแล้วครึ่งวัน เริ่มเหนื่อยและเมื่อย เลยนั่งรถไฟฟ้ากลับโรงแรมไปนอนเอาแรงซักตื่นแล้วมาเดินต่อแถว Marina Bay ซึ่งเป็นจุดที่สวยที่สุดของประเทศสิงคโปร์
หลังจากตื่นมาในตอนบ่ายแก่ๆ เราก็ออกเดินทางกันต่อ นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี City Hall แล้วเดินไล่มาเรื่อยๆ
เริ่มจาก Clarke Quay มีร้านอาหารตั้งอยู่ริมน้ำ ร้านแถวนี้บรรยากาศดี แต่ราคาก็แพงกว่าปกติ ร้านชื่อดังในย่านนี้ได้แก่ร้าน Jumbo seafood เมนูแนะนำปูผัดพริกไทยดำ และ ปูผัดพริก ในย่าน Clarke Quay มีทั้งร้านอาหาร และผับ ใครที่อยากหาที่นั่งดื่มตอนกลางคืนบรรยากาศดีๆ ต้องย่านนี้เลยครับ
รูปด้านบนเป็นโรงแรม The Fullerton Hotel เป็นโรงแรมเก่าแก่ ที่หรูหรามา คนดังๆ หลายคนมาพักที่นี่ ลองมองที่ด้านขวาล่าง ของรูปบนจะเห็นรูปปั้นเด็ก กำลังกระโดดน้ำ
รูปปั้นเด็กกระโดดน้ำข้างโรงแร
Comments to this story