สมาธิเป็นเรื่องสากล
Meditation is universal
“สมาธิ” นั้นเป็นเรื่องสากล ไม่ได้จำกัดความรู้ และการปฏิบัติอยู่เพียงแค่ชาวพุทธเท่านั้น อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสากล ดังนั้นในภาคปฏิบัติเรื่องของ “สมาธิ” ก็เป็นสากลเช่นกัน สมาธินั้นมีประโยชน์มาก เมื่อฝึกอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า เมื่อทดลองให้ผู้ป่วยโรคต่างๆ ฝึกสมาธิแล้วทำให้ผลการรักษาดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือ มีเรื่องราวของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 3 เดือน เมื่อฝึกสมาธิเนื่องจากหวังเอาบุญเป็นที่พึ่งก่อนที่จะละโลก ปรากฎว่าเนื้อร้ายเหล่านั้นกลับฝ่อลง และหายขาดอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” หากเรามีกำลังใจ และไม่กังวลกับโรคร้ายต่างๆ มากเกินไป อีกทั้งยังทำสมาธิให้ใจสบาย ร่างกายก็หลั่งสารเอ็นโดฟีนออกมามาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นยารักษาโรคตามธรรมชาติของร่างกายเราค่ะ ในทางละเอียดโรคทุกโรคมีสาเหตุจากวิบากกรรมเก่าที่เราได้ทำมาในภพชาติก่อนๆ เมื่อฝึกสมาธิ จิตใจที่นิ่งว่าง ไม่คิดอะไรเลยนั้น ถือว่าเป็นจิตใจที่ปราศจาคกิเลส เกิดพลังบุญมหาศาลไปตัดทอนวิบากกรรมเหล่านั้นให้หนักเป็นเบา จากเบาเป็นหายค่ะ...นี่คือประโยชน์ของสมาธิที่อธิบายแบบรวบรัดให้เห็นภาพกันง่ายๆค่ะ
เราชาวไทยนั้น นับว่าโชคดีมีบุญมากนะคะ ที่เกิดมาในแหล่งที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ในปัจจุบันเพราะ เมื่อเราอยากฝึกสมาธิ เราก็สามารถเลือกสถานที่ เลือกครูบาอาจารย์ และแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับเราได้ง่ายมาก ที่สำคัญบางทีไม่ต้องเสียเงินทองเพื่อเป็นค่าเรียนรู้เลย เพราะพระอาจารย์ทุกท่านล้วนแล้วแต่ต้องการสอนเราด้วยความเมตตาอยากให้เราพบความสุขที่แท้จริงภายในกันทั้งสิ้น แต่สำหรับชาวต่างชาตินั้นแม้จะต้องพบกับความทุกข์ ความเครียดมากมาย แต่บางคนก็ไม่รู้จักสมาธิ หาทางออกด้วยการไปหาความบันเทิงอื่นๆ บางทีก็เสพยา ดื่มสุรา สูบบุหรี่ เพื่อให้คลายทุกข์ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นทางออกที่ผิด เพราะสามารถแก้ปัญหาได้ชั่วคราว และส่วนใหญ่จะนำพาปัญหามาให้ในภายหลัง เช่น ทำให้เสียสุขภาพ เสียทรัพย์สิน และทำให้ครอบครัวแตกแยกอีกด้วย เป็นต้น
อย่างเช่นเพื่อนชาวต่างชาติที่รู้จักหลายคนเลยที่เขาสารภาพว่า เขารู้สึกว่าประเทศของเขาอยู่แล้วไม่มีความสุขเลย ผู้คนไม่ยิ้มแย้มให้กัน เป็นสังคมวัตถุนิยม ทุกคนจึงเคร่งเครียดกับการหาเงินทองแล้วนำไปซื้อข้าวของที่คิดว่าจะเป็นตัวชี้วัดความสุขของชีวิต ทั้งที่จริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ...แต่เมื่อเขามาเมืองไทย มาเรียนวิธีการฝึกสมาธิในแบบพุทธศาสนาเถรวาท เขาพบว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ในตัวเรานี่เอง เขารู้สึกทึ่งมากค่ะ ได้ฟังแบบนี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจในประเทศไทยเรา และพระพุทธศาสนาของเราค่ะ...ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านภูมิใจกันนะคะว่าประเทศไทยมีของดีมากมายที่รอให้คนไทยอย่างเราๆ เข้าไปศึกษาเรียนรู้ ชาวต่างชาติเขาต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนรู้ถึงประเทศไทย แต่เรามีของดีอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ถ้าไม่ได้มาลองสัมผัสดูเสียดายแย่เลยค่ะ
สิ่งที่ยืนยันว่าชาวตะวันตกเขาตื่นตัวการเรื่องการฝึกสมาธิกันมานานแล้ว ก็คือครั้งหนึ่งที่ “ TIME Magazine “ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการนิตยสารระดับโลก จัดพิมพ์เดือนละกว่า 8 ล้านฉบับ และยังมีผู้ที่อ่านทางอินเตอร์เน็ตอีกหลายล้านคนทั่วโลก ซึ่งได้ขึ้นหน้าปกเป็นรูปนางแบบสาวสวยนั่งสมาธิ หน้าตามีความสุข ซึ่งเป็นฉบับวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2546 โดยบนหน้าปกได้พาดหัวไว้ว่า
New age mumbo jumbo? Not for millions of Americans who meditate for health and well-being. Here’s how it works “The Science of Meditation”
ข้อความข้างต้นนี้จะเห็นว่า ชาวอเมริกันนับล้านที่ฝึกสมาธิเพื่อสุขภาพ และ ความเป็นอยู่ที่ดี และเขาก็ยืนยันว่า “วิทยาศาสตร์ของการฝึกสมาธิ” นั้นมันได้ผลจริงๆ
ซึ่งด้านในยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องสมาธิอีกกว่าสิบหน้าที่อธิบายถึง “แนวโน้มใหม่” ของมวลมนุษยชาติ นั่นก็คือ “The Science of Meditation” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า… “วิทยาศาสตร์ (ทางใจ) ของการฝึกสมาธิ” TIME Magazine กล่าวไว้อย่างน่าสนใจมากว่า
“นักวิทยาศาสตร์” ก็ “ศึกษาวิจัย” เรื่องสมาธิ…
“แพทย์” ก็ “เชียร์” ให้นั่งสมาธิ…
“ชาวอเมริกัน…นับสิบบ้านคน” ก็ “นั่งสมาธิ…ทุกวัน”
โดยเนื้อหาภายในของ TIME Magazine นั้นนำเรื่อง “Meditation” มาเปิดเผยถึงการค้นพบอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับสมาธิสรุปได้ดังนี้…
“ในสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันสิบล้านคนนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอ เป็นสองเท่าของสิบปีก่อน สถานที่หลายแห่งในสหรัฐ เช่นที่ นิวยอร์ก เปลี่ยนเป็นที่นั่งสมาธิหลายแห่งจนคนเรียกแถบนั้นว่าเป็น แถบของชาวพุทธ นักเรียนนั่งสมาธิก่อนเข้าห้องเรียนทุกเช้า นักกฎหมาย นักธุรกิจ คนทำงาน สาขาอาชีพต่างๆ นั่งสมาธิตามที่หน่วยงานของตนจัดให้นั่งอย่างสม่ำเสมอ ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็นั่งสมาธิ แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่ง คนเหล่านี้นั่งสมาธิ เพราะทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทำให้สร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นได้
จากการพิสูจน์ทางวิทยาศษสตร์พบว่าการนั่งสมาธิ ทำให้ร่างกายมีสภาวะเหมือนก่อนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ และทำให้จิตใจสดชื่นแจ่มใส สมาธิ ยังช่วยขจัดความขัดแย้งในจิตใจ ทำให้ใจอยู่นิ่งท่ามกลางความสับสนว่าจะเอาอย่างไรดี เมื่ออยู่นิ่งแล้วจะเข้าใจสถานการณ์ และเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น ทำให้แพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ถึงนั่งสมาธิมาหลายพันปีแล้วแพทย์ก็แนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิเป็นประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จากการสแกนคลื่นสมองพบว่า สมองจะมีระบบปิดกั้นเรื่องราวต่างๆไม่ให้เข้ามา และไม่ส่งเรื่องเข้าไปย่อยในส่วนลึกของเนื้อสมองอย่างเคย แต่ทำให้ระบบลิมบิคซึ่งเป็นส่วนควบคุมด้านอารมณ์และความจำดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ลมหายใจ และการเผาผลาญในร่างกายเป็นปรกติ
สมาธิช่วยทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้นสามารถรักษาโรคร้ายแรงเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เอดส์ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคใจสั่น คนไข้มะเร็ง เอดส์ และเจ็บปวดเรื้องรัง 14,000 คน ไม่ต้องกินยาแก้ปวด สมาธิยังรักษาจิตใจที่ปั่นป่วน กดดัน สมาธิสั้น วุ่นวาย ไม่อยู่นิ่งอีกด้วย นอกจากนี้พลังของสมาธิยังสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบร้อนแดง ให้มีผิวใสขึ้นเป็น 4 เท่าของผู้ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ นักเขียนที่เคยกินยาแก้เครียดมาเกือบจะตลอดชีวิตเมื่อนั่งสมาธิ ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป ผู้กำกับการแสดง และดาราภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ก็นั่งสมาธิ ทำให้ลดความกดดันจากอาชีพและความเป็นคนดังมีชื่อเสียง และทำให้มีความสุขมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น พัฒนาบุคลิกภาพให้สง่างามและดูมีอำนาจมากขึ้น มองเห็นตัวเองได้มากขึ้น และรู้ว่าควรแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่นั่งเงียบและทำให้จิตใจสงบเท่านั้น นักการเมืองที่มีชื่อเสียง เช่น ฮิลลารี คลินตัน พูดถึงสมาธิ และ อัล กอร์ ก็นั่งสมาธิและแนะนำให้ทุกคนนั่งสมาธิด้วย”
จากเนื้อหาในนิตยสารไทม์ข้างต้นนี้ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ปัจจุบันนี้ชาวอเมริกาต่างก็ตระหนัก และเห็นความสำคัญของการฝึกสมาธิ อีกทั้งยังมีงานวิจัยหลากหลายชิ้นที่พิสูจน์แล้วว่าสมาธิส่งผลดีต่อร่างกาย และจิตใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ใช่ชาวพุทธ แต่ประโยชน์ของสมาธิ และความเป็นสากลของสมาธิ ก็ทำให้พวกเขาเลือกที่จะฝึกสมาธิเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเอง
ดังนั้นสมาธิ คือ วิธีการนำไปสู่ความสงบภายใน มีขั้นตอนชัดเจน เรียบง่าย สามารถปฏิบัติได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษา ทุกระดับสถานะสังคม อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่นำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ โดยไม่ขัดต่อความเชื่อ ไม่ขัดต่อศรัทธาดั้งเดิม ไม่ขัดต่อวัฒนธรรมประเพณี เพราะเป็นเรื่องของการฝึก “ใจ” เป็นสิ่งที่ปฏิบัติในทุกที่ทุกสภาพแวดล้อม ทุกกิริยาอาการ เช่น ฝึกสมาธิในอิริยาบทนั่ง นอน ยืน และเดิน ไม่มีสิ่งใดจะเป็นอุปสรรคถ้าเรามีความมุ่งมั่นที่จะเริ่มต้นฝึกฝน และทำอย่างต่อเนื่อง...ลองตั้งใจฝึกสมาธิ และช่วยกันเผยแผ่สิ่งดีๆ ไปผู้คนรอบตัวเรา เพื่อที่สังคม ประเทศชาติ และโลกใบนี้จะได้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความสุขนะคะ
Credit: Picture from http://www.liebenfels.com/reincarnation-the-interlife-universal-consciousness-the-holographic-soul/
Tag :
สมาธิ
meditation
สากล
universal
relax
time
magazine
stress
strong
mind
Comments to this story