สมาธิเป็นสิ่งที่เราควรจะทำทุกวัน ให้เป็นกิจวัตร เหมือนกันการอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ทานข้าว เพราะร่างกายเรายังต้องชำระล้างให้สะอาดทุกวัน จิตใจของเราก็ต้องได้รับการชำระล้างให้สะอาดเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นใจเราจะเป็นที่เก็บสะสมขยะในใจได้ ทุกๆ วันเราจะต้องเจอกับสิ่งเร้ารอบตัวเรา ที่มีผลทำให้เรามีทั้งความสุข และความเครียด หากเป็นความสุขเราคงไม่ต้องไปจัดการอะไรมากนัก แต่สำหรับความทุกข์ ความเครียด ความหงุดหงิด รำคาญใจ ที่สะสมมาตลอดทั้งวันนั้น ต้องการให้เราทำความสะอาดใจ เคลียร์สิ่งต่างๆ ที่รกใจเราเช่นกัน ลองคิดดูว่าหากเราไม่สะสาง จำกัด สิ่งเหล่านี้ออกไป ใจเราก็จะสกปรกหมักหมม เต็มไปด้วยสิ่งที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ ความดำมืดของใจจะสะสม หุ้มห่อ ปนเป็นใจเราให้มัวหมอง แม้บางครั้งเราเจอกับสิ่งดีดีในชีวิต เราก็จะมองไม่เห็น
ยกตัวอย่างเช่น การได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่เรารักในช่วงวันหยุด หากเราได้มีการเคลียร์ใจเราทุกวัน ด้วยการฝึกสมาธิ เราจะมองเห็นว่าช่วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวนี้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า และจะทำช่วงเวลานี้ให้มีความสุขที่สุด แต่หากใจเราดำมืดเราจะใช้เวลากับครอบครัวของเราด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ บางครั้งอาจจะรู้สึกรำคาญกับเรื่องจุกจิกที่เกิดขึ้น จนทำให้ลุกลามเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง ทำลายความรู้สึกที่ดีของกันและกันในช่วงวันหยุดที่มีคุณค่านี้...เห็นไหมละคะว่าเรื่องการฝึกสมาธินี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย สมาธิจะทำให้เราเห็นอะไรที่เรามักมองข้ามไป
เคยไหมคะ? ที่เราเห็นใครบางคนมักมีความสุขในทุกสถานการณ์ มีความสุขได้กับเรื่องเล็กน้อย ที่เป็นอย่างนั้นได้เพราะใจของเขาใสค่ะ เขาอาจจะเป็นคนที่ฝึกสมาธิ หรือไม่ก็เป็นคนที่มีนิสัยมองโลกในแง่ดีอยู่แล้ว เมื่อใครได้เข้าใกล้คนเหล่านี้ก็จะรู้สึกมีความสุข สบายใจตามไปด้วย คุณอยากจะเป็นคนที่ใครอยู่ใกล้แล้วก็รู้สึกเครียด หรือ จะเป็นคนที่ใครๆอยู่ด้วยแล้วก็มีความสุขคะ? เชื่อว่าคำตอบคงมีอยู่ในใจคุณอยู่แล้ว...ซึ่งไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าใครเมื่อมีคนเข้าใกล้แล้วรู้สึกได้ถึงความเครียด เจ้าตัวนั้นจะต้องมีความเครียดสะสมอยู่ในตัวมากมายกว่าหลายเท่าตัวนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่ใครเข้าใกล้แล้วมีความสุข นั่นหมายถึง ในใจของเขาเป็นที่สะสมความสุขอย่างมหาศาลจนกระทั่งส่งผ่านไปยังผู้อื่นได้นั่นเอง เปรียบเหมือน พระอาทิตย์ที่ส่งผ่านแสงสว่าง และความร้อนมาให้กับมนุษย์บนโลกได้ ที่เรารู้สึกร้อนมากๆ ในช่วงหน้าร้อนนั้น ลองมาดูที่ตัวของพระอาทิตย์สิคะ ว่าร้อนขนาดไหนจึงแผ่ความร้อนออกมาได้ถึงโลกเราขนาดนั้น...พอจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วนะคะ
มนุษย์เรานั้นสภาพจิตใจของเรานั้น “ประภัสสร ผ่องใส” ค่ะ แต่ด้วยกิเลสที่ห่อหุ้มใจเรามาตั้งแต่กำเนิดทำให้ใจของเราไม่ใส เหมือนอย่างสภาพที่แท้จริงของเรา วิธีเดียวที่จะขจัดกิเลสออกไปจากใจเราได้จนหมดสิ้นนั้นก็คือ การฝึกสมาธิ เพื่อขจัดกิเลสของเราออกไปทีละนิดละหน่อย จนเมื่อมนุษย์สามารถฝึกสมาธิได้จนถึงขั้นวิปัสสนา เห็นแจ้งแทงตลอด เห็นกิเลสในใจจนขจัดออกได้หมด และกิเลสไม่สามารถมาควบคุมใจเราได้อีก บุคคลเหล่านี้เราเรียกว่า “พระอรหันต์” ใจของท่านจะกลับไปสู่ความบริสุทธิ์ ผ่องใส ได้อีกครั้ง และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือ สังสารวัฏ ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ค่ะ
แม้ว่าเราจะยังไม่ได้หวังผลในการชำระล้างใจเราให้บริสุทธิ์ได้ขนาดนั้น แต่ยังไงเราก็ควรจะเคลียร์ใจเราทุกวัน เพราะกิเลส เปรียบเหมือนเชื้อไวรัส ที่พร้อมจะแพร่กระจาย และขยายเพิ่มจำนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งเราตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ถ้าเปรียบกับใจที่ถูกกิเลสห่อหุ้มแบบดำมืดสนิทจริงๆ ก็คือ คนที่ตายแล้ว จากการทำความดีทั้งปวง พร้อมที่จะทำชั่วได้ทุกชนิด ทุกเวลา โดยไม่มีความรู้สึกผิดแม้สักนิด ทำทุกอย่างได้เพื่อสนองกิเลสที่บังคับใจนั่นเอง ดังนั้นหากเราประมาทไม่หมั่นควบคุม ระวัง จิตใจเราให้ห่างจากความชั่ว เราจะถูกกิเลสควบคุมให้ทำความชั่วอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นดีที่สุด คือ การหมั่นอาบน้ำชำระใจเราด้วย “การฝึกสมาธิ” ในทุกๆ วัน เพื่อให้กิเลสนั้นตามห่อหุ้มใจเราไม่ทัน หรือ บังคับควบคุมให้เราทำสิ่งที่ไม่ดีได้น้อยที่สุดค่ะ
บางคนอาจจะคิดว่าเราก็เป็นคนดีอยุ่แล้ว คิดดี พูดดี ทำดี อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องฝึกสมาธิ...นั่นก็ยังเป็นความคิดที่ประมาทนะคะ แม้ว่าเราจะเป็นคนดีอยู่แล้ว แต่หากได้ฝึกสมาธิเพิ่มเติมอีก นั่นจะทำให้เราได้ฝึกใจเราให้สูงส่งมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเจอสิ่งเร้าที่หลอกล่อให้เราทำไม่ดี ก็จะมีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นต่อการทำชั่ว
ยกตัวอย่างเช่น ปกติแล้วนาย ก. จะทำงานเป็นเจ้าหน้าที่จัดซื้อขององค์กรหนึ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยใช้หน้าที่ของตนในการทำทุจริต แม้ว่าจะมีใครเสนอเงินพิเศษให้ แต่หากวันหนึ่งพ่อของนาย ก. ป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วนและต้องใช้เงินก้อนใหญ่ด่วนเพื่อรักษา ไม่อย่างนั้นพ่อของนาย ก. อาจจะถึงแก่ชีวิต ในจังหวะนั้นมีคนเสนอเงินพิเศษให้นาย ก. เพื่อให้นายก. เลือกจัดซื้อสินค้าของตนเองเข้าไปในองค์กร แต่สินค้านี้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ และราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเป็นปกตินาย ก.จะปฏิเสธ แต่กรณีนี้ ถ้านาย ก. จะตัดสินใจอย่างไร...แล้วคุณละคะลองนึกดูเล่นๆ ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร?...มาดูกันค่ะว่าจากการตัดสินใจทั้งสองทางเลือก คือ รับ หรือ ไม่รับ...แล้วจะส่งผลอย่างไร?
กรณีแรกคือ “รับ” เมื่อนาย ก. รับเงินก้อนนั้น ก็นำเงินมารักษาพ่อของตนเอง พ่อพ้นขีดอันตราย ดูเหมือนอะไรๆ จะดีไปหมด แต่เมื่อวันหนึ่งองค์กรนั้น สืบพบว่าของที่นาย ก. สั่งเข้ามา คุณภาพต่ำ และราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลเสียหายต่อองค์กร จึงถูกพิจารณาให้ออกจากงาน พร้อมกับการเสียประวัติเนื่องจากถูกประกาศไปยังองค์กรอื่นๆ และบริษัทในเครือ เพื่อไม่ให้รับเข้าทำงานด้วยความที่ทุจริตในหน้าที่ พ่อซึ่งยังคงต้องรักษาตัวต่อเนื่องก็พลอยลำบากเพราะขาดรายได้ในที่สุด
กรณีที่สอง คือ “ไม่รับ” เมื่อนาย ก.ไม่รับ และ มีเงินไม่มากพอที่จะรักษาพ่อของตน จึงนำเงินเก็บส่วนหนึ่ง และเอ่ยปากขอยืมคนรอบตัว ซึ่งปกตินาย ก. เป็นคนที่ไว้วางใจได้จึงมีคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจ พ่อของนาย ก. จึงผ่านช่วงวิกฤติมาได้ และเนื่องจากนาย ก.เป็นผู้ที่มีความสุจริต จัดซื้อของที่มีคุณภาพ ราคาสมเหตุผล ทำให้บริษัทมีกำไร ในปลายปีบริษัทจึงพิจารณาให้นาย ก. ได้รับโบนัสก้อนใหญ่ เขาจึงนำเงินนั้นไปจ่ายคือให้แก่คนที่เขาไปยืมเงินมา พร้อมทั้งยังมีความเจริญก้าวหน้าในที่ทำงาน เป็นหลักให้ครอบครัวต่อไปได้
ตัวอย่างข้างต้นนี้ หากนาย ก. ไม่ฝึกใจตนเองให้ผ่องใสอยู่เสมอ ก็อาจจะรู้ไม่เท่าทันตัวกิเลสที่สั่งให้นาย ก. รับเงินก้อนนั้น เพื่อไปรักษาพ่อ ซึ่งดูแล้วอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เนื่องจากเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะส่งผลเสียตามมาในภายหลัง ในทางตรงกันข้าม หาก นาย ก. ได้ฝึกสมาธิ เมื่อมีปัญหา ก็จะมีตัว “สติ” คอยเตือนให้มีจิตใจเข้มแข้ง ทนต่อความยั่วยวนของกิเลส ที่กำลังหลอกล้อด้วยเงินก้อนโต ทำให้เห็นถึงความเป็นจริงโดยตลอดว่า หากใจอ่อนยอมรับเงินจะเกิดผลเสียในที่สุด แต่หากยึดมั่นในความถูกต้อง แม้จะดูแล้วลำบาก แต่ในระยะยาวแล้วจะเกิดผลดีตามมาไม่สิ้นสุด...และนี้ก็คือตัวอย่างของผู้ที่เป็นคนดีอยู่แล้ว แต่หากฝึกสมาธิเพิ่มเติม ก็จะยิ่งทำให้มีจิตใจที่มั่นคง เข็มแข็ง ต่อการทำดีค่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่างมี “ใจ” เป็นนาย มีใจเป็นผู้สั่ง ดังนั้นเราจึงควรฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นการฝึกฝนชนิดเดียวเท่านั้นที่เราสามารถฝึกกับ “ใจ” ของเราได้ ยิ่งหากฝึกได้ทุกๆวัน ใจของเราก็จะยิ่งเข้มแข็ง ใจที่เข้มแข็ง คือใจที่ใสสว่าง ห่างไกลจากการบังคับ ควบคุมของกิเลสทั้งปวงค่ะ...มาเริ่มฝึกสมาธิกันให้ได้ทุกวันนะคะ เพื่อให้มีจิตใจเข้มแข็งต่อความชั่ว พร้อมที่จะทำดี ส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความเจริญก้าวหน้าค่ะ
credit: photo from http://8tracks.com/mobot/clear-your-mind
Tag :
สมาธิ
ล้าง
ใจ
สะอาด
clear
mind
meditation
Comments to this story