Follow Us

Story We Share

STORY BY Sasha (Master)

เชื่ออย่างไร?...สไตล์พุทธ ( ตอนที่ 2)

Print January 14, 20144,214 views , 0 comments

เชื่ออย่างไร?...สไตล์พุทธ ( ตอนที่ 2)
 

จากตอนที่แล้วเราได้ทราบถึงหลักในการเลือกนำธรรมะ หรือ ความรู้เฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ ในการเข้าถึงธรรมเท่านั้นมาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเรื่อง “ใบไม้ในกำมือ” กันไปแล้ว ตอนนี้จะเน้นในเรื่องของ การเชื่อสไตล์พุทธ ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นค่ะ
 
การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลือกเน้นสอนเฉพาะสิ่งที่เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นเท่านั้น ก็เพราะว่าสรรพสัตว์ในจักรวาลนี้เปรียบได้กับ ชายผู้ถูกยิงด้วยธนู อาการสาหัส สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือ ถอนธนูออกจากร่างกาย แล้วรักษาบาดแผลให้หาย เพื่อรักษาชีวิตให้รอด แต่หากชายผู้นั้นเป็นคนเขลา กลับมุ่งสงสัย ใคร่รู้ว่า “วิถีธนูมาจากทิศไหน ใครเป็นผู้ยิงเขา ยิ่งไปทำไม ยิ่งเพื่ออะไร ฯลฯ” แล้วไปแสวงหาคำตอบเหล่านั้นก่อนโดยที่ไม่ถอนธนูออก แน่นอนว่าในที่สุดเขาก็ต้องตายโดยที่ยังไม่ได้คำตอบอะไรทั้งสิ้น...เช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าที่ท่านพร้อมบอกวิธีช่วยเหลือในการถอนธนูออกจากร่างกาย และรักษาบาดแผลให้หายได้ด้วยวิธีที่ท่านเลือก และพิสูจน์มาแล้วว่ารักษาให้หายได้จริง (เหมือนพระสัทธรรมที่ท่านเลือกมาสอน เช่น ใบไม้ในกำมือ) แต่หากเราไม่สนใจรีบเข้ารับการรักษาก่อน (หลงเพลินไปกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมรมณ์) เราก็จะต้องหมดอายุขัยตายไปเปล่าๆ อีกหนึ่งชาติ โดยที่ไม่ได้ลงมือฝึก หรือ ปฏิบัติอะไรเลย เพื่อหนทางแห่งการหลุดพ้นอย่างแท้จริง ทั้งที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งมีร่างกายพร้อมสำหรับการปฏิบัติแล้ว ก็เหมือนกับชายผู้โง่เขลา ที่ถูกธนูปักอกตายผู้นั้น
 
ผู้ที่ฉลาดเมื่อได้พบกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะต้องมีความตระหนักว่า สิ่งที่บุคคลผู้มีความบริสุทธิ์บริบูรณ์เช่นนี้ ได้กล่าวเอาไว้นั้น มีหลักการที่น่าสนใจ แม้ว่าหลายๆ สิ่ง ยังคงเป็นสิ่งที่เห็นตามไม่ได้ และแม้ว่าฝึกก็ต้องอาศัยเวลา (เช่น พวกภพภูมิต่างๆ กฏแห่งกรรม ฯลฯ) ก็จะยังไม่ปฏิเสธว่าไม่มี (เพราะคนทำได้จริงก็มีอยู่) แต่จะลองศึกษา และลงมือปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ให้ผลได้จริงตามนั้นหรือไม่ ซึ่งก็สามารถเริ่มพิสูจน์ได้ตั้งแต่ ลองนำหลักธรรมต่างๆ มาประยุกต์ปฏิบัติในชีวิตจริง เช่น จะทำงานก็ให้มีอิทธิบาท 4  จะครองใจคนก็ให้มี สังคหวัตถุ 4 จะรวยก็ให้มีคาถาเศรษฐี จะมีครอบครัวก็ให้มี วุฒิธรรม 4 จะแก้ปัญหาอะไรก็ให้ยึดหลัก อริยสัจ 4 เป็นต้น แล้วเราก็จะรู้ด้วยตนเองว่าคำสอนของท่านดีจริงไหม
 
เมื่อเห็นผลดีในเรื่องเบื้องต้นแล้ว ก็ให้ค่อยๆ พิสูจน์ในเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้งมายิ่งขึ้น ด้วยการฝึกจิตในของเราด้วยสมาธิ ซึ่งก็มีทั้งระดับ สมถะ และวิปัสสนา ฝึกให้ได้เห็นผลตามแต่ที่ระดับใจของเราจะฝึกได้ แล้วค่อยพัฒนาให้ใจละเอียดต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะพบผลดีที่เกิดจากการฝึกใจเราให้ ใส สะอาด บริสุทธิ์ หยุด นิ่ง ได้ในที่สุดค่ะ
 
มาถึงตรงนี้อยากจะกล่าวถึงบางคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์ ที่เห็นได้พิสูจน์ได้ และคิดว่าพุทธศาสตร์ เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป จึงจะขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบอะไรสักหน่อยค่ะ... การที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า “เชื้อไวรัสมีอยู่ในอากาศ แต่เรามองไม่เห็น เพราะไวรัสตัวเล็กมาก” ถามว่าเราเชื่อไหมคะ? ส่วนใหญ่ก็จะต้องตอบว่า “เชื่อ” เชื่อเพราะอะไร? ก็เพราะว่ามีกลุ่มนักวิจัยเขาพิสูจน์มาแล้ว แต่ถามว่า...แล้วคนทั่วไปมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสไปเข้าห้องวิจัย ไปส่องกล้องจุลทรรศน์ดูให้เห็นด้วยตาตัวเองแบบนั้น นอกจากพวกนักวิทยาศาสตร์ที่เขาทดลอง ส่องกล้อง แล้วก็เอาผลการวิจัยมาประกาศลงวารสารให้เราทราบ ซึ่งสัดส่วนผู้ที่เป็นนักวิจัย กับคนทั่วไปในโลกในนี้ที่มีโอกาสได้ทดลองคงมีแค่ 1 ในล้าน เท่านั้น...แล้วทีแบบนี้ทำไมเราเชื่อล่ะคะ
 
อีกตัวอย่างหนึ่ง สมัยก่อนคนว่าโลกแบบ แต่สุดท้ายนักดาราศาสตร์ก็บอกว่า โลกกลม เมื่อก่อนบอกว่าเรามีแค่ระบบสุริยะจักรวาลเดียว แต่พอนานวันเข้าก็พิสูจน์ได้ว่ามีจักรวาลมากมาย นับไม่ถ้วนเลย...เราเชื่อไหมคะ ส่วนใหญ่ก็บอก “เชื่อ” เชื่อเพราะอะไร? เชื่อเพราะว่ามีนักดาราศาสตร์ ที่ส่องกล้องโทรทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงมากๆ ส่องเห็นมาแล้ว หรือ ที่ว่าโลกกรมเพราะมีมนุษย์อวกาศได้เดินทางออกนอกโลกไปเห็นมาแล้วก็ส่งภาพมาให้เราดู แล้วมีสักกี่คนเหรอคะที่ได้มีโอกาสได้ไปส่องกล้องที่ประสิทธิภาพสูงสุดแบบนั้น ส่องดูด้วยตาตัวเองว่ามีจักรวาลอื่นๆ อีกมากมาย และออกนอกโลกไปเห็นโลกกลมด้วยตาตัวเอง...ก็คงมีกลุ่มนักดาราศาสตร์ หรือนักบินอวกาศที่ศึกษาเรื่องนี้ เทียบสัดส่วนกันก็ 1 ในล้าน ของทั่วโลกอีกนั่นล่ะค่ะ...แล้วทำไมแบบนี้เรายังเชื่อเลย
 
แต่พอบอกว่าพระพุทธเจ้าค้นพบว่า ในจักรวาลนี้ไม่ได้มีแค่ภพภูมิมนุษย์เท่านั้น ยังมีภพภูมิอื่นๆ อีก เช่น มี ผี เปรต อสูรกาย สัมภเวสี สัตว์นรก นาค ครุฑ ยักษ์ อยู่ในภพภูมินรก สวรรค์ พรหม อรูปพรหม เป็นต้น รวมถึงมนุษย์ก็ไม่ได้เกิดหนเดียว ตายหนเดียว เกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว...เราเชื่อไหมคะ คนส่วนมากในยุคนี้ก็จะบอกว่า “ไม่เชื่อ” ไม่เชื่อเพราะอะไร? ไม่เชื่อเพราะว่าพิสูจน์ด้วยตัวเองไม่ได้...เห็นถึงความแตกต่างไหมคะ...ทั้งที่ในหลายๆคน ก็ไม่ได้เคยพิสูจน์การเห็นไวรัส และนอกอวกาศเหมือนกัน แต่กลับกล้าที่จะบอกว่า “เชื่อ” แต่กรณีนี้กลับปักใจว่า ไม่เชื่อ ซะอย่างนั้น...
 
ถามว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครพิสูจน์มาเลยหรือ ? ก็ไม่ใช่ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 2,500 ปี นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลนั้นมีคนมากมายที่เปิดโอกาสให้ตัวเองทดลอง ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ แล้วก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันมากมาย หรือ แม้ยังไม่บรรลุธรรม แต่ก็สามารถเห็นภพภูมิ  นรก สวรรค์ได้มากมายนับไม่ถ้วนเลย แม้แต่ในประเทศไทยก็มีพระอาจารย์ชื่อดังหลายๆ ท่าน ในอดีตจนถึงปัจจุบันที่ก็ยืนยันว่า ท่านปฏิบัติจริง เห็นจริง บ้างก็ได้มาเผยแพร่เรื่องของ กฏแห่งกรรม การระลึกชาติ หรือแม้แต่คนธรรมดาทั่วไป ก็ยังสามารถระลึกชาติของตัวเองได้ ในกรณีที่เมื่อตายแล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์ทันที ไม่ได้มีการผ่านภพภูมิอื่นๆ มาก่อนที่จะเกิด ทำให้ความจำต่างๆ ยังคงชัดเจนอยู่ในดวงจิต เมื่อมาเกิดใหม่ พอเริ่มจะพูดได้ จึงเริ่มพูดถึงชีวิตของตัวเองในอดีต และตามหาครอบครัวเดิม ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป...ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ใช่คนที่เห็นนรก สวรรค์เอง ระลึกชาติเอง แต่แล้วความแตกต่างกับกรณีข้างต้นอยู่ตรงไหน? เพราะข้างต้นนั้นบางท่านก็ไม่ได้ไปดูด้วยตาตัวเองเหมือนกัน แค่มีกลุ่มคนที่พิสูจน์มาแล้ว มาบอกต่อเราก็ยังเชื่อได้ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องนี้เรากลับรีบปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่มี”
 
หากจะหาจริงๆ ว่าความแตกต่างที่จะทำให้เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ อยู่ตรงไหน ก็คงจะอยู่ตรงที่ว่า นักวิทยาศาสตร์ถ่ายภาพออกมาให้เราดู เราเลยเชื่อ แต่เผอิญว่าในเรื่องภพภูมิเหล่านี้ไม่มีกล้องอะไรสามารถเก็บภาพมาได้ เพราะเป็นภพภูมิละเอียด ต้องอาศัยการฝึกจิตให้ละเอียดมากพอ ซึ่งเปรีบเสมือนการจูนหาคลื่นวิทยุ ถ้าความถี่ไม่ตรงกันก็หาคลื่นไม่เจอนั่นเอง ซึ่งก็พอจะเป็นเหตุผลให้ไม่เชื่อได้ แต่หากคุณเชื่อในกระบวนการพิสูจน์ทางสถิติ การที่มีคนตายแล้วฟื้นแล้วนำเรื่องราวที่เขาเห็นในระหว่างที่เขาตาย มาเล่าให้ฟังว่า เขาเห็นยมทูตมารับตัว รอเข้าโรงพิพากษา เจอพญายมราช เห็นนรก เห็นสวรรค์ แล้วกลับมาเข้าร่างใหม่ ซึ่งมีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในสังคมเป็นร้อยเรื่อง...หรือ แม้แต่มีนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อ ศ.นพ.เอียน สตีเวนสัน ผู้ดำเนินการมากว่า 47 ปี ตั้งแต่ก่อนปี 2503 ซึ่งท่านได้พบผู้ที่จำอดีตชาติได้ หรือผู้ที่สืบชาติมาเกิดใหม่ จากชาติและศาสนาต่างๆ ทั่วโลก ทั้งใน ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา และทวีปเอเชีย (รวมทั้งประเทศไทย) มากกว่า3,000 กรณีศึกษา เก็บรวบรวมเป็นงานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันทั่วไป ว่ามนุษย์คงไม่ได้เกิดหนเดียว ตายหนเดียว มีภพชาติจริงๆ เป็นต้น
 
แล้วสำหรับคุณที่ยังคงรีบด่วน “ปฏิเสธ” ว่าเรื่องราวลึกซึ้งจากคำสอนของพระพุทธองค์ “ไม่มีจริง” น่าจะลองมาปรับความคิดกันใหม่ว่าให้เชื่อในระดับที่ว่า “มันอาจจะมีจริงก็ได้นะ” สังเกตุนะคะ...ไม่ได้บอกให้เชื่อเลยว่าใช่แนๆ แต่ให้เชื่อแบบเปิดใจรับทราบว่ามีเรื่องราวความเป็นจริงอย่างนี้ในพระพุทธศาสนา ไม่ด่วนปฏิเสธ เพราะทุกวันนี้สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ล้วนไม่พ้นความรู้ในพระพุทธศาสนาที่ได้มาจาก “ญาณทัสสนะ” อันบริสุทธิ์ เนื่องมาจากการฝึกสมาธิในขั้นสูง สิ่งเหล่านี้รอให้ทุกท่านพิสูจน์ด้วยตัวเองนะคะ
 
ถามว่าถ้าเรา “เชื่อ” ว่า ภพภูมิ การเวียนวายตายเกิด กฎแห่งกรรมมีจริง แล้วดียังไง? จำเป็นต้องรู้ด้วยหรือ? ตอบว่า จำเป็นอย่างมากที่สุดค่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อตัวของเราเองตรงๆ เลย เพราะหากเราพอจะเชื่อว่า เราคงไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียว และยังมีภพสวรรค์สำหรับผู้ที่เป็นคนดี และมีนรกเอาไว้สำหรับคนทำชั่ว ภพชาติต่อไปที่ต้องมาเกิดอีกครั้งยังต้องการการสั่งสมบุญเพื่อให้เกิดมามีชีวิตที่ดีในภพชาติต่อๆไป วิถีการใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยน เราจะระมัดระวังการกระทำของเรามากยิ่งขึ้น ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตที่เอาแต่จะเบียดเบียนคนอื่น เพื่อความสุขของตนเอง โดยไม่ต้องกังวลว่าเมื่อตายไปแล้วจะมีผลอะไรตามมา เพราะคิดว่าทุกอย่างชาติเดียว เผื่อว่าถ้าสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้มีจริง แม้เรายังไม่สามารถเห็นได้เองในชาตินี้ แต่เมื่อเราต้องละโลกไปจริงๆ พิสูจน์ด้วยตัวเองจริงๆ เราก็จะได้ปลอดภัย ไม่ต้องไปถูกทรมานในนรก เพราะเราดำรงตนเป็นคนดีมาตลอด “เชื่อไว้บ้าง และทำดีในขณะที่ยังมีชีวิต ปลอดภัยกว่าไม่เชื่อเลย แล้วไปเจอของจริงในนรกเมื่อสายไปแล้ว” นะคะ
 
ดังนั้นจึงขอสรุปเรื่อง “เชื่ออย่างไร สไตล์พุทธ” ไว้ในตอนนี้อย่างสมบูรณ์ว่า เชื่อในแบบของพุทธะ หรือ ผู้รู้นั้น คือ ให้เชื่ออย่างมีสติ มีปัญญา เปิดใจ รับสิ่งใหม่ ไม่เชื่อปักใจในทัันที และไม่รีบด่วนปฏิเสธ แต่ให้ลงมือปฏิบัติว่าสิ่งที่ได้รับทราบมานั้นถูกต้องหรือไม่ด้วยตนเอง แต่ตราบใดถ้ายังไม่ลงมือพิสูจน์ หรือ ลงมือพิสูจน์แล้วแต่ยังไม่ถูกต้อง อย่าเพิ่งปักใจ และ ป่าวประกาศว่า “ไม่มีจริง” ค่ะ
 

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ : http://images.palungjit.org/ ภาพ “จินตนาการแห่งสรวงสวรรค์” จาก คุณสุวัฒน์ แสนขัติยรัตน์ ศิลปินวัย 37ปี ชาวจังหวัดเชียงราย และอาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะไทย ภาควิชาวิจิตรศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 
Tag : Buddhism Dhamma พุทธศาสนา เชื่อ ภพภูมิ ระลึกชาติ partlife

Comments to this story

Write a comment


1.  views readmore
ALL Most Viewed
ALL TOP Rated
1.  comments readmore
ALL Most Comment