Follow Us

Story We Share

STORY BY Sasha (Master)

เชื่ออย่างไร?...สไตล์พุทธ ( ตอนที่ 1)

Print January 14, 20141,742 views , 0 comments

เชื่ออย่างไร?...สไตล์พุทธ ( ตอนที่ 1)
 

หัวข้อนี้อาจจะฟังดูแปลกนิดนึงนะคะ เพราะก่อนหน้านี้เราได้มีการพูดถึงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ...แล้วเชื่อสไตล์พุทธนี้เชื่ออย่างไร?
 
แม้ว่าพระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้เราเชื่อด้วยเหตุต่างๆ ถึง 10 อย่าง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าให้ไม่เชื่ออะไรเลยนะคะ...เพราะหากเราไม่เชื่อในอะไรเลย เราก็จะไม่มีแรงบันดาลใจในการลงมือ ลงแรง ลงเวลาในการทดลองปฏิบัติ และพิสูจน์ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเป็นการปลอดภัย หากเราจะเชื่อเอาไว้บ้าง ในระดับที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจในการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนเห็นผลได้ด้วยตัวเองค่ะ
 
เหตุผลที่ไม่อยากให้ทุกท่านรีบด่วนตัดสินใจว่าสิ่งที่เราเองพิสูจน์ยังไม่ได้นั้นไม่มีจริง ก็เพราะว่าการที่เราด่วนสรุปเช่นนี้ จะเป็นตัดโอกาสตนเองให้ได้มาลองปฏิบัติ และได้พบกับความสุข ความสำเร็จในชีวิต ที่ได้มาจากการน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ควบคู่กับการดำเนินชีวิตของเราค่ะ
 
ในเรื่องที่ดูเหมือนจะเหลือเชื่อในพระพุทธศาสนาก็มีอยู่หลากลาย เช่น เรื่องภพชาติ นรก สวรรค์ กฎแห่งกรรม การตรัสรู้ธรรม เรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ เรื่องภพภูมิ เรื่องสัตว์ในภพภูมิอื่น เช่น เทวดา นางฟ้า ครุฑ นาค ยักษ์ พรหม เปรต อสุรกาย ภูติ ผี ปิศาจ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้หากเราไม่ได้ไปเห็นเองก็คงยากจะเชื่อ...แล้วเราจะเชื่อดีไหม ถ้าจะเชื่อควรเชื่ออย่างไร?
 
ก่อนอื่นเราควรจะเข้าใจว่า ความรู้ต่างๆในพระพุทธศาสนา เกิดจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้พยายามหาคำตอบในสัจธรรมด้วยการฝึกสมาธิ และเมื่อท่านตรัสรู้ธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเป็นเรื่องยากในการเข้าไปรู้เห็น ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความลับของท่านอีกต่อไป เมื่อท่านตรัสรู้ นั่นหมายถึง ท่านมีญาณ เป็นเครื่องรู้  ที่นำพาท่านไปรู้เรื่องราวต่างๆที่ท่านอยากจะหาคำตอบได้ด้วยกำลังแห่งสมาธิในขั้นสูง ดังนั้น ความรู้ต่างๆ ที่เป็นคำเทศน์สอนของท่านจึงเป็นความจริงแท้ทั้งสิ้น...ขอย้ำว่าท่านไม่ได้คิดเอง พูดเอง แต่งเอง แต่ท่านได้ไปเห็นแจ้ง จึงรู้แจ้ง ในสัจธรรมของจักรวาลนี้ แล้วจึงนำมาเทศน์สอนต่อ ซึ่งจริงๆ แล้วสัจธรรมที่พระองค์ได้ค้นพบนั้นมีมากมาย ซึ่งท่านเองท่านเลือกมาสอนแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น ท่านเลือกเฉพาะสิ่งที่สอนแล้วจะทำให้ผู้คนเห็นทุกข์ โทษในสังสารวัฏ และมีแรงบันดาลในปฏิบัติฝึกฝนตนจนสามารถบรรลุธรรมได้อย่างท่าน และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตามท่านไปให้ได้เท่านั้น และเมื่อใครได้ทำอย่างท่านจนกระทั่งบรรลุธรรมแล้วก็จะรู้แจ้ง เห็นแจ้งอย่างท่านเช่นกัน ดังพุทธพจน์ ในสีสปาสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคที่หลายคนคงคุ้นเคยกันดี
 
         “สมัยหนึ่ง...พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย 2-3 ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย...ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า...ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.
             พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก...เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ...นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก...”
 
จากพุทธพจน์ข้างต้นนี้เราจะเห็นว่าสิ่งที่ท่านตรัสรู้ในสัจธรรมนั้นมีมากมาย แต่ท่านเลือกเฉพาะความรู้ที่จะทำให้เห็นทุกข์โทษในสังารวัฏ นำพาไปสู่การปฏิบัติ เพื่อที่จะบรรลุธรรมตามท่านไป ดังนั้นคำสอนที่ในพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งเรารู้สึกว่ามากมายเหลือเกินนี้เป็นแค่ใบไม้ในกำมือของท่านเท่านั้น ยังมีความรู้อีกมากในจักรวาลนี้ที่ท่านทราบคำตอบ แต่ท่านไม่นำมาสอน เพราะไม่ใช่ทางที่ทำให้เบื่อหน่ายในโลก เป็นการเสียเวลา...จากประเด็นนี้เวลาเราศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์ จึงควรเปิดใจว่าสิ่งใดที่ไม่มีในพระไตรปิฎกในแบบเถรวาท ซึ่งเราคุ้นเคยกันในแถบ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้า เพราะยังมีคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่อยู่กระจัดกระจายทั่วโลก ซึ่งถูกเก็บในภาษาอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมาจากพุทธศาสนา สายอื่นๆ เช่น มหายาน (แถบประเทศจีน ใต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี)หรือ วัชรยาน (แถบประเทศธิเบต ภูฏาน)
 
หรือแม้แต่บางครั้งสิ่งนั้นอาจจะไม่ได้มีในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความรู้ที่นอกเหนือคำสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่มีจริง เพราะก็ยังมีความรู้อีกมากที่ท่านไม่ได้กล่าวถึง หรือนำมาสอน เป็นต้น...มีบางท่านสงสัยว่า แล้วทำไมเมื่อท่านตรัสรู้แจ้งทุกอย่าง ท่านจึงไม่ยอมนำความรู้เหล่านั้นมาสอนทั้งหมดขอตอบว่า เพราะเวลาชีวิตของมนุษย์มีจำกัด สิ่งที่ท่านรู้นั้นแม้นำมาสอนตลอดชีวิตของท่านก็พูดได้ไม่จบ และผู้เรียนเองใช้เวลาเรียนทั้งชีวิตก็ไม่จบ...ไม่ต้องไปนึกถึงในสมัยพุทธกาลหรอกค่ะ เอาแค่ว่าในปัจจุบันนี้ ถ้าให้เราไปค้นคว้าความรู้จากใน google ให้ได้ครบทั้งหมดจริงๆ ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะอ่านข้อมูลเหล่านั้นได้หมด หรือ ต้องท่องเที่ยวไปทั่วโลกสักกี่รอบ ถึงจะไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้เพื่อให้รู้กระแจ้งทั้งหมดได้จริงๆ....ตอบได้เลยว่า “ชีวิตนี้ไม่พอค่ะ”  ฉันใดก็ฉันนั้นล่ะค่ะ สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้น ไม่เพียงแค่ความรู้ในโลกใบนี้แต่ยังรวมถึงเรื่องของจักรวาล และ มิติละเอียดในภพภูมิที่ตามนุษย์ไม่สามารถไปพบเห็นได้...ถ้าท่านต้องหยิบมาสอนทั้งหมด ลูกศิษย์ก็คงจะหมดอายุขัยตายก่อนที่จะบรรลุธรรม...ท่านจึงเลือกเฉพาะความจริงที่พูดแล้วเกิดความปลงในโลก มีแรงบันดาลใจในการฝึกตนเองตามวิธีที่ท่านได้ทิ้งชีวิตของท่านเพื่อแสวงหาจนกระทั่งค้นพบ เราผู้มาทีหลังจึงไม่ต้องลำบากในการแสวงหาหนทางด้วยตัวเอง(ซึ่งไม่รู้ว่าชาติไหนจะพบ) อีกต่อไป แค่ฟัง และเรียนรู้สิ่งที่ท่านเลือกมาสอน (ปริยัติ) แล้วปฏิบัติ จนเกิดผลดีตามท่าน (ปฏิเวธ) แล้วหลังจากนั้น เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็จะได้ไปรู้เห็นสิ่งที่ท่านรู้ ซึ่งเปรีบบกับใบไม้ทั้งหมดนั่นเอง
 
เรื่อง “ใบไม้ในกำมือ” นี้เป็นเรื่องที่แสดงให้เราเข้าใจถึงหลักในการพิจารณาเลือกความรู้ที่จะนำมาสอนเหล่าสาวก ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เมื่อทราบถึงหลักการของท่านแล้วว่าเราควรจะเน้นศึกษาถึงความรู้ประเภทไหน (ประเภทที่ทำให้หลุดพ้นได้) จึงเป็นแนวทางให้เราได้ลองลงมือปฏิบัติ  นับได้ว่าเราได้เข้าใจในเบื้องต้นแล้วว่า “เชื่อสไตล์พุทธ” คือ การเปิดกว้างความคิด ความเข้าใจ ของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่ปิดกั้น เชื่อในองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ แล้วทดลองปฏิบัติ พิสูจน์ด้วยตัวของคุณเองค่ะ
 
“เชื่ออย่างไร สไตล์พุทธ” ยังไม่จบแค่ในตอนนี้นะคะ เรามาติดตามกันในตอนหน้า ซึ่งจะทำให้เราชัดเจนขึ้นว่า เชื่ออย่างมีเหตุมีผลตามแนวพุทธนั้นเป็นอย่างไรค่ะ...อนุโมนาบุญสำหรับผู้ที่อาจเริ่มมีความคิดที่จะลองศึกษา และปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนาแล้วนะคะ...สาธุ
 

ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ : http://www.thammasatu.net/forum/index.php?topic=11557.0
Tag : dhamma dharma พระพุทธศาสนา ธรรมะ พระไตรปิฎก เชื่อ ใบไม้ในกำมือ ภพภูมิ

Comments to this story

Write a comment


1.  views readmore
ALL Most Viewed
ALL TOP Rated
1.  comments readmore
ALL Most Comment