Story We Share
STORY BY Sasha (Master)
เคล็ดไม่ลับสำหรับการเลือกหนังสือดี
Print October 06, 20123,014 views , 0 comments
เคล็ดไม่ลับสำหรับการเลือกหนังสือดี
สวัสดีค่ะ วันนี้มีวิธีการเลือกหนังสือดีดี มาอ่านกันนะคะ อย่างที่เราก็ได้เห็นกันอยู่ว่าในปัจจุบันมีหนังสือมากมายวางแผง แข่งกันออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่เวลาของเรามีจำกัด แล้วเราจะมีวิธีการเลือกหนังสือที่ดีได้ยังไงบ้าง
โดยส่วนตัวรักการอ่านมาก อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ จากที่อ่านหนังสือแบบไม่มีทิศทางในห้องสมุด เลือกไม่เป็นดูไม่ออกว่าหนังสือเล่มไหนดีหรือไม่ดี จนกระทั่งค่อยๆ เริ่มจับหลักได้ว่าเราจะมีวิธีเฉพาะตัวอย่างไรในการเลือกอ่าน บวกกับได้ไปศึกษาหาวิธีการอื่นๆ ที่มีคนแนะนำเอาไว้ จึงมาแชร์ให้ผู้อ่านได้ลองเอาไปให้ดูนะคะ
ก่อนอื่นเลย เราควรถามตัวเองก่อนว่า หนังสือประเภทไหนที่เราอยากอ่านในขณะนั้น หนังสือก็มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ กลอน หนังสือแนวที่ให้ความรู้ประเภทต่าง เช่น หนังสือเกี่ยวกับภาษา หนังสือแนวบริหาร และธุรกิจ หนังสือให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หนังสือแนวอัตชีวประวัติของบุคคลสำคัญต่างๆ และอื่นๆ
เอาว่าเมื่อเราเลือกได้แล้วว่าเราอยากอ่านหนังสือประเภทไหน ให้เหมาะสมกับความจำเป็น และการใช้งานของเราในขณะนั้นได้แล้ว เราก็มาดูหลักในการเลือกต่อไปซึ่งก็คือ ดูว่าผู้แต่งเป็นใคร ให้เช็คว่าผู้แต่งคนนี้มีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน มีประสบการณ์และความถนัดแบบใด หรือ เคยเขียนหนังสืออะไรได้รับรางวัลมาบ้างไหม...การเช็คข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ เพราะเรากำลังจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีคุณค่าจากผู้เขียนท่านนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังสือนวนิยายก็ตาม การที่ผู้เขียนมาประสบการณ์มาก และทำงานประณีต ก็จะทำให้สามารถรวบรวมประสบการณ์นำมาประยุกต์เขียนเป็นนิยายออกมาได้ รวมถึงสำนวนการเขียนนี้ก็สำคัญ เพราะจะทำให้เรารู้สึกคล้อยตาย หรือ อยากที่จะอ่านไปเรื่อยๆ จนจบได้เช่นกัน ดังนั้นจึงข้อสรุปว่าเรื่องรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับผุ้เขียนนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งถ้าเรามีเวลาก็ขอให้เราเช็คเรื่องนี้กันสักนิด ซึ่งก็ไม่ยากเพราะบางทีในหนังสือนั้นก็มีประวัติ และผลงานของผู้เขียนปรากฎอยู่แล้วค่ะ
ต่อไปเราก็มาดูจำนวนที่พิมพ์ และครั้งที่พิมพ์ดูค่ะ ถ้าเล่มไหนพิมพ์ครั้งละ 5,000 เล่ม แถมได้รับการพิมพ์มาแล้ว 10 ครั้ง ก็ไม่ต้องลังเลค่ะ แสดงว่าหนังสือเขาดีจริง หยิบขึ้นมาดูเนื้อหาด้านในได้ต่อไปได้เลย แต่ถ้าเล่มไหนพิมพ์ครั้งละ 500 เล่ม และพิมพ์ครั้งที่ 1 ก็ให้รู้เอาไว้ว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ใช่หนังสือที่คนส่วนมากนิยมอ่าน หากซื้อไปก็อาจจะมีแนวโน้มว่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งจะทำให้เสียดายเงินค่ะ นอกจากนี้หากหนังสือเล่มไหนที่มีการันตีว่า "Best Seller" ก็ให้แน่ใจไปอีกขั้นว่า น่าจะเป็นหนังสือดี
นอกจากนี้ถ้าเรามีเวลาก่อนที่จะมาที่ร้านหนังสือ หากเราสามารถเช็คในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ด้วย ว่าโดยภาพรวมแล้วสื่อ และกลุ่มคนในแวดวงต่างๆ ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือนี้ว่าอย่างไร ถ้าภาพรวมบอกว่าเป็นหนังสือดีมีคุณภาพ แถมยังได้รางวัลจากการประกวดต่างๆ มาด้วยแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราคงไม่ผิดหวังกับหนังสือเล่มนี้
หลังจากที่เราค่อนข้างแน่ใจว่ากำลังหยิบหนังสือที่ดีขึ้นมาแล้ว ให้เราเปิดไปที่หน้าบทนำ เพื่อที่เราจะได้ดูว่าเนื้อหาคร่าวๆ ด้านในเป็นอย่างไร ใช่เรื่องราวที่เราอยากจะอ่านหรือไม่ แล้วต่อไปให้เราเช็คประเด็นหัวข้อที่ผู้เขียนได้แสดงเอาไว้ในสารบัญ ซึ่งจะมีทั้งหัวข้อใหญ่ในแต่ละบท และหัวข้อย่อยๆ ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมดว่าหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านแล้วเราจะได้อะไรบ้าง ตอบโจทย์ที่เราต้องก่ารแล้วหรือยัง
เมื่อเราเห็นว่าเนื้อหาโดยรวมตรงกับความต้องการของเราแล้ว ให้เราเปิดไปดูเนื้อหาด้านในแบบผ่านๆ เพื่อ ดูสำนวนการเขียน ความสละสลวยของการเลือกคำที่ใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นความสามารถทางด้านภาษาของผู้เขียน อีกทั้งผู้เขียนได้ให้ประโยชน์กับผู้อ่านมากน้อยแค่ไหน มีแง่คิดประเด็น หรือ มุมมองที่น่าสนใจอะไรบ้าง ซึ่งหลักๆ ก็ให้ดูที่ย่อหน้าแรกในแต่ละบท และบทสรุปตอนท้ายของแต่ละบท รวมถึง บทสุดท้ายของเล่มด้วยว่า ผู้เขียนสรุปความอะไรไว้บ้าง หากตรวจดูแล้วเป็นแนวที่เราชอบ ก็ไม่ต้องรีรอแล้วค่ะ ถือว่าผ่านหมดทุกข้อซื้อไปก็ไม่ผิดหวังแล้วค่ะ
มีเพิ่มเติมอีกนิดนึงนะคะ กรณีที่เป็นหนังสือนแนววิชาการความรู้ ให้เราตรวจเช็คบรรณานุกรม สักหน่อยก็จะดี จะทำให้เราเห็นว่าผู้เขียนได้ค้นคว้ามามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีหนังสืออ้างอิงมาก ก็แสดงว่าผู้เขียนศึกษามาเยอะ และเราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นนั่นเองค่ะ
การอ่านหนังสือนี้เป็นนิสัยล้ำค่า ที่ทุกคนควรจะสร้างเอาไว้ให้เป็นนิสัยนะคะ เพราะหนังสือถูกรวบรวมเรียบเรียนงมาจากความรู้มากมาย ผู้เขียนบางคนกว่าจะเขียนหนังสือจบสักเล่ม ต้องสั่งสมประสบการณ์ในชีวิตหลายสิบปี กว่าจะกลั่นกรองออกมาเขียนให้เราได้อ่านกัน ดังนั้นจึงเป็นการประหยัดเวลาอย่างยิ่งที่เราได้เรียนรู้ประสบการณ์อันหลากหลาย ยาวนาน ของผู้เขียนมากมาย มารวมไว้ที่ตัวเรา เพื่อที่เราจะได้ต่อยอดประสบการณ์ ความรู้นั้น พัฒนาตัวเอง และสร้างสรรสังคมของเราให้เป็นสังคมแห่งการส่งทอด สืบต่อ และสร้างสรรความดีให้อยู่คู่โลกใบนี้ต่อไปค่ะ
สวัสดีค่ะ วันนี้มีวิธีการเลือกหนังสือดีดี มาอ่านกันนะคะ อย่างที่เราก็ได้เห็นกันอยู่ว่าในปัจจุบันมีหนังสือมากมายวางแผง แข่งกันออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่เวลาของเรามีจำกัด แล้วเราจะมีวิธีการเลือกหนังสือที่ดีได้ยังไงบ้าง
โดยส่วนตัวรักการอ่านมาก อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ จากที่อ่านหนังสือแบบไม่มีทิศทางในห้องสมุด เลือกไม่เป็นดูไม่ออกว่าหนังสือเล่มไหนดีหรือไม่ดี จนกระทั่งค่อยๆ เริ่มจับหลักได้ว่าเราจะมีวิธีเฉพาะตัวอย่างไรในการเลือกอ่าน บวกกับได้ไปศึกษาหาวิธีการอื่นๆ ที่มีคนแนะนำเอาไว้ จึงมาแชร์ให้ผู้อ่านได้ลองเอาไปให้ดูนะคะ
ก่อนอื่นเลย เราควรถามตัวเองก่อนว่า หนังสือประเภทไหนที่เราอยากอ่านในขณะนั้น หนังสือก็มีหลากหลายประเภท ตั้งแต่นวนิยาย เรื่องสั้น บทความ กลอน หนังสือแนวที่ให้ความรู้ประเภทต่าง เช่น หนังสือเกี่ยวกับภาษา หนังสือแนวบริหาร และธุรกิจ หนังสือให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หนังสือแนวอัตชีวประวัติของบุคคลสำคัญต่างๆ และอื่นๆ
เอาว่าเมื่อเราเลือกได้แล้วว่าเราอยากอ่านหนังสือประเภทไหน ให้เหมาะสมกับความจำเป็น และการใช้งานของเราในขณะนั้นได้แล้ว เราก็มาดูหลักในการเลือกต่อไปซึ่งก็คือ ดูว่าผู้แต่งเป็นใคร ให้เช็คว่าผู้แต่งคนนี้มีชื่อเสียงมากน้อยแค่ไหน มีประสบการณ์และความถนัดแบบใด หรือ เคยเขียนหนังสืออะไรได้รับรางวัลมาบ้างไหม...การเช็คข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าเราจะได้อ่านหนังสือที่มีประโยชน์ เพราะเรากำลังจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์ที่มีคุณค่าจากผู้เขียนท่านนั้น แม้ว่าจะเป็นหนังสือนวนิยายก็ตาม การที่ผู้เขียนมาประสบการณ์มาก และทำงานประณีต ก็จะทำให้สามารถรวบรวมประสบการณ์นำมาประยุกต์เขียนเป็นนิยายออกมาได้ รวมถึงสำนวนการเขียนนี้ก็สำคัญ เพราะจะทำให้เรารู้สึกคล้อยตาย หรือ อยากที่จะอ่านไปเรื่อยๆ จนจบได้เช่นกัน ดังนั้นจึงข้อสรุปว่าเรื่องรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับผุ้เขียนนี้มีความสำคัญมาก ซึ่งถ้าเรามีเวลาก็ขอให้เราเช็คเรื่องนี้กันสักนิด ซึ่งก็ไม่ยากเพราะบางทีในหนังสือนั้นก็มีประวัติ และผลงานของผู้เขียนปรากฎอยู่แล้วค่ะ
ต่อไปเราก็มาดูจำนวนที่พิมพ์ และครั้งที่พิมพ์ดูค่ะ ถ้าเล่มไหนพิมพ์ครั้งละ 5,000 เล่ม แถมได้รับการพิมพ์มาแล้ว 10 ครั้ง ก็ไม่ต้องลังเลค่ะ แสดงว่าหนังสือเขาดีจริง หยิบขึ้นมาดูเนื้อหาด้านในได้ต่อไปได้เลย แต่ถ้าเล่มไหนพิมพ์ครั้งละ 500 เล่ม และพิมพ์ครั้งที่ 1 ก็ให้รู้เอาไว้ว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะไม่ใช่หนังสือที่คนส่วนมากนิยมอ่าน หากซื้อไปก็อาจจะมีแนวโน้มว่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ ซึ่งจะทำให้เสียดายเงินค่ะ นอกจากนี้หากหนังสือเล่มไหนที่มีการันตีว่า "Best Seller" ก็ให้แน่ใจไปอีกขั้นว่า น่าจะเป็นหนังสือดี
นอกจากนี้ถ้าเรามีเวลาก่อนที่จะมาที่ร้านหนังสือ หากเราสามารถเช็คในเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ด้วย ว่าโดยภาพรวมแล้วสื่อ และกลุ่มคนในแวดวงต่างๆ ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือนี้ว่าอย่างไร ถ้าภาพรวมบอกว่าเป็นหนังสือดีมีคุณภาพ แถมยังได้รางวัลจากการประกวดต่างๆ มาด้วยแล้ว ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราคงไม่ผิดหวังกับหนังสือเล่มนี้
หลังจากที่เราค่อนข้างแน่ใจว่ากำลังหยิบหนังสือที่ดีขึ้นมาแล้ว ให้เราเปิดไปที่หน้าบทนำ เพื่อที่เราจะได้ดูว่าเนื้อหาคร่าวๆ ด้านในเป็นอย่างไร ใช่เรื่องราวที่เราอยากจะอ่านหรือไม่ แล้วต่อไปให้เราเช็คประเด็นหัวข้อที่ผู้เขียนได้แสดงเอาไว้ในสารบัญ ซึ่งจะมีทั้งหัวข้อใหญ่ในแต่ละบท และหัวข้อย่อยๆ ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมดว่าหนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านแล้วเราจะได้อะไรบ้าง ตอบโจทย์ที่เราต้องก่ารแล้วหรือยัง
เมื่อเราเห็นว่าเนื้อหาโดยรวมตรงกับความต้องการของเราแล้ว ให้เราเปิดไปดูเนื้อหาด้านในแบบผ่านๆ เพื่อ ดูสำนวนการเขียน ความสละสลวยของการเลือกคำที่ใช้ ซึ่งแสดงให้เห็นความสามารถทางด้านภาษาของผู้เขียน อีกทั้งผู้เขียนได้ให้ประโยชน์กับผู้อ่านมากน้อยแค่ไหน มีแง่คิดประเด็น หรือ มุมมองที่น่าสนใจอะไรบ้าง ซึ่งหลักๆ ก็ให้ดูที่ย่อหน้าแรกในแต่ละบท และบทสรุปตอนท้ายของแต่ละบท รวมถึง บทสุดท้ายของเล่มด้วยว่า ผู้เขียนสรุปความอะไรไว้บ้าง หากตรวจดูแล้วเป็นแนวที่เราชอบ ก็ไม่ต้องรีรอแล้วค่ะ ถือว่าผ่านหมดทุกข้อซื้อไปก็ไม่ผิดหวังแล้วค่ะ
มีเพิ่มเติมอีกนิดนึงนะคะ กรณีที่เป็นหนังสือนแนววิชาการความรู้ ให้เราตรวจเช็คบรรณานุกรม สักหน่อยก็จะดี จะทำให้เราเห็นว่าผู้เขียนได้ค้นคว้ามามากน้อยแค่ไหน ถ้ามีหนังสืออ้างอิงมาก ก็แสดงว่าผู้เขียนศึกษามาเยอะ และเราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมมากขึ้นนั่นเองค่ะ
การอ่านหนังสือนี้เป็นนิสัยล้ำค่า ที่ทุกคนควรจะสร้างเอาไว้ให้เป็นนิสัยนะคะ เพราะหนังสือถูกรวบรวมเรียบเรียนงมาจากความรู้มากมาย ผู้เขียนบางคนกว่าจะเขียนหนังสือจบสักเล่ม ต้องสั่งสมประสบการณ์ในชีวิตหลายสิบปี กว่าจะกลั่นกรองออกมาเขียนให้เราได้อ่านกัน ดังนั้นจึงเป็นการประหยัดเวลาอย่างยิ่งที่เราได้เรียนรู้ประสบการณ์อันหลากหลาย ยาวนาน ของผู้เขียนมากมาย มารวมไว้ที่ตัวเรา เพื่อที่เราจะได้ต่อยอดประสบการณ์ ความรู้นั้น พัฒนาตัวเอง และสร้างสรรสังคมของเราให้เป็นสังคมแห่งการส่งทอด สืบต่อ และสร้างสรรความดีให้อยู่คู่โลกใบนี้ต่อไปค่ะ
Credit Photo From: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=365357
- Write a comment
- Bookmark story
- Rate
Write a comment
All Relate Story
All Recent Entries
Comments to this story